251118:1300 ปรับปรุง Project requirement

This commit is contained in:
admin
2025-11-18 13:01:23 +07:00
parent 693dd7f074
commit 7c1c5e3c99
20 changed files with 15426 additions and 13926 deletions

File diff suppressed because it is too large Load Diff

File diff suppressed because it is too large Load Diff

File diff suppressed because it is too large Load Diff

File diff suppressed because it is too large Load Diff

View File

@@ -1,673 +0,0 @@
# 📝 **Documents Management System Version 1.4.1: Application Requirements Specification (ปรับปรุงโดย deepseek)**
**ปรับปรุงตามการ review และข้อเสนอแนะล่าสุด*
## 📌**1. วัตถุประสงค์**
สร้างเว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับระบบบริหารจัดการเอกสารโครงการ (Document Management System)ที่สามารถจัดการและควบคุม การสื่อสารด้วยเอกสารที่ซับซ้อน อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีฟังก์ชันหลักในการอัปโหลด จัดเก็บ ค้นหา แชร์ และควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงเอกสาร
- ช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษ เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล
- เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างองกรณ์
- **เสริม:** ปรับปรุงความปลอดภัยของระบบด้วยมาตรการป้องกันที่ทันสมัย
- **เสริม:** เพิ่มความทนทานของระบบด้วยกลไก resilience patterns
- **เสริม:** สร้างระบบ monitoring และ observability ที่ครอบคลุม
## 🛠️**2. สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี (System Architecture & Technology Stack)**
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Headless/API-First ที่ทันสมัย ทำงานทั้งหมดบน QNAP Server ผ่าน Container Station เพื่อความสะดวกในการจัดการและบำรุงรักษา, Domain: np-dms.work, มี fix ip, รัน docker command ใน application ของ Container Station ได้โดยตรง, ประกอบด้วย
- **2.1. Infrastructure & Environment:**
- Server: QNAP (Model: TS-473A, RAM: 32GB, CPU: AMD Ryzen V1500B)
- Containerization: Container Station (Docker & Docker Compose) ใช้ UI ของ Container Station เป็นหลัก ในการ configuration และการรัน docker command
- Development Environment: VS Code on Windows 11
- Domain: np-dms.work, <www.np-dms.work>
- ip: 159.192.126.103
- Docker Network: ทุก Service จะเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายกลางชื่อ lcbp3 เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้
- Data Storage: /share/dms-data บน QNAP
- ข้อจำกัด: ไม่สามารถใช้ .env ในการกำหนดตัวแปรภายนอกได้ ต้องกำหนดใน docker-compose.yml เท่านั้น
- **2.2. การจัดการ Configuration:**
- ใช้ docker-compose.yml สำหรับ environment variables ตามข้อจำกัดของ QNAP
- **แต่ต้องมี mechanism สำหรับจัดการ sensitive secrets อย่างปลอดภัย** โดยใช้:
- Docker secrets (ถ้ารองรับ)
- External secret management (Hashicorp Vault) หรือ
- Encrypted environment variables
- Development environment ยังใช้ .env ได้ แต่ต้องไม่ commit เข้า version control
- ต้องมี configuration validation during application startup
- ต้องแยก configuration ตาม environment (development, staging, production)
- **2.3. Code Hosting:**
- Application name: git
- Service: Gitea (Self-hosted on QNAP)
- Service name: gitea
- Domain: git.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นศูนย์กลางในการเก็บและจัดการเวอร์ชันของโค้ด (Source Code) สำหรับทุกส่วน
- **2.4. Backend / Data Platform:**
- Application name: lcbp3-backend
- Service: NestJS
- Service name: backend
- Domain: backend.np-dms.work
- Framework: NestJS (Node.js, TypeScript, ESM)
- หน้าที่: จัดการโครงสร้างข้อมูล (Data Models), สร้าง API, จัดการสิทธิ์ผู้ใช้ (Roles & Permissions), และสร้าง Workflow ทั้งหมดของระบบ
- **2.5. Database:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: mariadb:10.11
- Service name: mariadb
- Domain: db.np-dms.work
- หน้าที่: ฐานข้อมูลหลักสำหรับเก็บข้อมูลทั้งหมด
- Tooling: DBeaver (Community Edition), phpmyadmin สำหรับการออกแบบและจัดการฐานข้อมูล
- **2.6. Database management:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: phpmyadmin:5-apache
- Service name: pma
- Domain: pma.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการฐานข้อมูล mariadb ผ่าน Web UI
- **2.7. Frontend:**
- Application name: lcbp3-frontend
- Service: next.js
- Service name: frontend
- Domain: lcbp3.np-dms.work
- Framework: Next.js (App Router, React, TypeScript, ESM)
- Styling: Tailwind CSS + PostCSS
- Component Library: shadcn/ui
- หน้าที่: สร้างหน้าตาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับให้ผู้ใช้งานเข้ามาดู Dashboard, จัดการเอกสาร, และติดตามงาน โดยจะสื่อสารกับ Backend ผ่าน API
- **2.8. Workflow automation:**
- Application name: lcbp3-n8n
- Service: n8nio/n8n:latest
- Service name: n8n
- Domain: n8n.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการ workflow ระหว่าง Backend และ Line
- **2.9. Reverse Proxy:**
- Application name: lcbp3-npm
- Service: Nginx Proxy Manager (nginx-proxy-manage: latest)
- Service name: npm
- Domain: npm.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นด่านหน้าในการรับ-ส่งข้อมูล จัดการโดเมนทั้งหมด, ทำหน้าที่เป็น Proxy ชี้ไปยัง Service ที่ถูกต้อง, และจัดการ SSL Certificate (HTTPS) ให้อัตโนมัติ
- **2.10. การจัดการตรรกะทางธุรกิจ (Business Logic Implementation):**
- 2.10.1. ตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อนทั้งหมด (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow [cite: 3.5.4, 3.6.5], การบังคับใช้สิทธิ์ [cite: 4.4], การตรวจสอบ Deadline [cite: 3.2.5]) **จะถูกจัดการในฝั่ง Backend (NestJS)** [cite: 2.3] เพื่อให้สามารถบำรุงรักษาและทดสอบได้ง่าย (Testability)
- 2.10.2. **จะไม่มีการใช้ SQL Triggers** เพื่อป้องกันตรรกะซ่อนเร้น (Hidden Logic) และความซับซ้อนในการดีบัก
- 2.10.3. **การจัดการเลขที่เอกสาร:** ใช้ **application-level locking** (Redis distributed lock) แทน stored procedure เพื่อป้องกัน race condition และให้ง่ายต่อการทดสอบและบำรุงรักษา
- **2.11 Data Migration และ Schema Versioning:**
- ต้องมี database migration scripts สำหรับทุก schema change โดยใช้ TypeORM migrations
- ต้องรองรับ rollback ของ migration ได้
- ต้องมี data seeding strategy สำหรับ environment ต่างๆ (development, staging, production)
- ต้องมี version compatibility between schema versions
- Migration scripts ต้องผ่านการทดสอบใน staging environment ก่อน production
- ต้องมี database backup ก่อนทำ migration ใน production
- **2.12 กลยุทธ์ความทนทานและการจัดการข้อผิดพลาด (Resilience & Error Handling Strategy)**
- 2.12.1 Circuit Breaker Pattern: ใช้สำหรับ external service calls (Email, LINE, Elasticsearch)
- 2.12.2 Retry Mechanism: ด้วย exponential backoff สำหรับ transient failures
- 2.12.3 Fallback Strategies: Graceful degradation เมื่อบริการภายนอกล้มเหลว
- 2.12.4 Error Handling: Error messages ต้องไม่เปิดเผยข้อมูล sensitive
- 2.12.5 Monitoring: Centralized error monitoring และ alerting system
## **📦 3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน (Functional Requirements)**
- **3.1. การจัดการโครงสร้างโครงการและองค์กร**
- 3.1.1. โครงการ (Projects): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในหลายโครงการได้ (ปัจจุบันมี 4 โครงการ และจะเพิ่มขึ้นในอนาคต)
- 3.1.2. สัญญา (Contracts): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในแต่ละสัญญาได้ ในแต่ละโครงการ มีได้หลายสัญญา หรืออย่างน้อย 1 สัญญา
- 3.1.3. องค์กร (Organizations):
- มีหลายองค์กรในโครงการ องค์กรณ์ที่เป็น Owner, Designer และ Consultant สามารถอยู่ในหลายโครงการและหลายสัญญาได้
- Contractor จะถือ 1 สัญญา และอยู่ใน 1 โครงการเท่านั้น
- **3.2. การจัดการเอกสารโต้ตอบ (Correspondence Management)**
- 3.2.1. วัตถุประสงค์: เอกสารโต้ตอบ (correspondences) ระหว่างองกรณื-องกรณ์ ภายใน โครงการ (Projects) และระหว่าง องค์กร-องค์กร ภายนอก โครงการ (Projects), รองรับ To (ผู้รับหลัก) และ CC (ผู้รับสำเนา) หลายองค์กร
- 3.2.2. ประเภทเอกสาร: ระบบต้องรองรับเอกสารรูปแบบ ไฟล์ PDF หลายประเภท (Types) เช่น จดหมาย (Letter), อีเมล์ (Email), Request for Information (RFI), และสามารถเพิ่มประเภทใหม่ได้ในภายหลัง
- 3.2.3. การสร้างเอกสาร (Correspondence):
- ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ (เช่น Document Control) สามารถสร้างเอกสารรอไว้ในสถานะ ฉบับร่าง" (Draft) ได้ ซึ่งผู้ใช้งานต่างองค์กรจะมองไม่เห็น
- เมื่อกด "Submitted" แล้ว การแก้ไข, ถอนเอกสารกลับไปสถานะ Draft, หรือยกเลิก (Cancel) จะต้องทำโดยผู้ใช้ระดับ Admin ขึ้นไป พร้อมระบุเหตุผล
- 3.2.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม:
- เอกสารสามารถอ้างถึง (Reference) เอกสารฉบับก่อนหน้าได้หลายฉบับ
- สามารถกำหนด Tag ได้หลาย Tag เพื่อจัดกลุ่มและใช้ในการค้นหาขั้นสูง
- 3.2.5. Correspondence Routing & Workflow
- 3.2.5.1 Routing Templates (แม่แบบการส่งต่อ)
- ผู้ดูแลระบบต้องสามารถสร้างแม่แบบการส่งต่อได้
- แม่แบบสามารถเป็นแบบทั่วไป (ใช้ได้ทุกโครงการ) หรือเฉพาะโครงการ
- แต่ละแม่แบบประกอบด้วยลำดับขั้นตอนการส่งต่อ
- การส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Wouting ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.2.5.2 Routing Steps (ขั้นตอนการส่งต่อ) แต่ละขั้นตอนในแม่แบบต้องกำหนด:
- **ลำดับขั้นตอน** (Sequence)
- **องค์กรผู้รับ** (To Organization)
- **วัตถุประสงค์** (Purpose): เพื่ออนุมัติ (FOR_APPROVAL), เพื่อตรวจสอบ (FOR_REVIEW), เพื่อทราบ (FOR_INFORMATION), เพื่อดำเนินการ (FOR_ACTION)
- **ระยะเวลาที่คาดหวัง** (Expected Duration)
- 3.2.5.3 Actual Routing Execution (การส่งต่อจริง) เมื่อสร้างเอกสารและเลือกใช้แม่แบบ ระบบต้อง:
- สร้างลำดับการส่งต่อตามแม่แบบ
- ติดตามสถานะของแต่ละขั้นตอน: ส่งแล้ว (SENT), กำลังดำเนินการ (IN_PROGRESS), ดำเนินการแล้ว (ACTIONED), ส่งต่อแล้ว (FORWARDED), ตอบกลับแล้ว (REPLIED)
- ระบุวันครบกำหนด (Due Date) สำหรับแต่ละขั้นตอน
- บันทึกผู้ดำเนินการและเวลาที่ดำเนินการ
- 3.2.5.4 Routing Flexibility (ความยืดหยุ่น)
- สามารถข้ามขั้นตอนได้ในกรณีพิเศษ (โดยผู้มีสิทธิ์)
- สามารถส่งกลับขั้นตอนก่อนหน้าได้
- สามารถเพิ่มความคิดเห็นในแต่ละขั้นตอน
- แจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อถึงขั้นตอนใหม่หรือใกล้ครบกำหนด
- 3.2.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่เป็นผู้รับได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบขององกรณ์ที่เป็น ผู้รับ/ผู้ส่ง ทราบ เมื่อมีเอกสารใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.3. การจัดกาแบบคู่สัญญา (Contract Drawing)**
- 3.3.1. วัตถุประสงค์: แบบคู่สัญญา (Contract Drawing) ใช้เพื่ออ้างอิงและใช้ในการตรวจสอบ
- 3.3.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.3.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.3.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ใช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Contract Drawing
- **3.4. การจัดกาแบบก่อสร้าง (Shop Drawing)**
- 3.4.1. วัตถุประสงค์: แบบก่อสร้าง (Shop Drawing) ใช้เในการตรวจสอบ โดยจัดส่งด้วย Request for Approval (RFA)
- 3.4.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.4.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.4.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Shop Drawings
- **3.5. การจัดการเอกสารขออนุมัติ (Request for Approval & Workflow)**
- 3.5.1. วัตถุประสงค์: เอกสารขออนุมัติ (Request for Approval) ใช้ในการส่งเอกสารเพิอขออนุมัติ
- 3.5.2. ประเภทเอกสาร: Request for Approval (RFA) เป็นชนิดหนึ่งของ Correspondence ที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องได้รับการอนุมัติ มีประเภทดังนี้:
- Request for Drawing Approval (RFA_DWG)
- Request for Document Approval (RFA_DOC)
- Request for Method statement Approval (RFA_MES)
- Request for Material Approval (RFA_MAT)
- 3.5.2. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.5.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การจัดการ Drawing (RFA_DWG):
- เอกสาร RFA_DWG จะประกอบไปด้วย Shop Drawing (shop_drawings) หลายแผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นมี Revision ของตัวเอง
- Shop Drawing แต่ละ Revision สามารถอ้างอิงถึง Contract Drawing (Ccontract_drawings) หลายแผ่น หรือไม่อ้างถึงก็ได้
- ระบบต้องมีส่วนสำหรับจัดการข้อมูล Master Data ของทั้ง Shop Drawing และ Contract Drawing แยกจากกัน
- 3.5.5. Workflow การอนุมัติ: ต้องรองรับกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อนและเป็นลำดับ เช่น
- ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Workflow ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.5.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ทราบ เมื่อมี RFA ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.6.การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals)**
- 3.6.1. วัตถุประสงค์: เอกสารนำส่ง ใช้สำหรับ นำส่ง Request for Approval (RFAS) หลายฉบับ ไปยังองค์กรอื่น
- 3.6.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.6.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.6.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: เอกสารนำส่ง เป็นส่วนหนึ่งใน Correspondence
- **3.7. ใบเวียนเอกสาร (Circulation Sheet)**
- 3.7.1. วัตถุประสงค์: การสื่อสาร เอกสาร (Correspondence) ทุกฉบับ จะมีใบเวียนเอกสารเพื่อควบคุมและมอบหมายงานภายในองค์กร (สามารถดูและแก้ไขได้เฉพาะคนในองค์กร)
- 3.7.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.7.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในองค์กรนั้น สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.7.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การระบุผู้รับผิดชอบ:
- ผู้รับผิดชอบหลัก (Main): มีได้หลายคน
- ผู้ร่วมปฏิบัติงาน (Action): มีได้หลายคน
- ผู้ที่ต้องรับทราบ (Information): มีได้หลายคน
- 3.7.5. การติดตามงาน:
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบประเภท Main และ Action ได้
- มีระบบแจ้งเตือนเมื่อมี Circulation ใหม่ และแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงวันแล้วเสร็จ
- สามารถปิด Circulation ได้เมื่อดำเนินการตอบกลับไปยังองค์กรผู้ส่ง (Originator) แล้ว หรือ รับทราบแล้ว (For Information)
- **3.8. ประวัติการแก้ไข (Revisions):** ระบบจะเก็บประวัติการสร้างและแก้ไข เอกสารทั้งหมด
- **3.9. การจัดเก็บ: (ปรับปรุงตามสถาปัตยกรรมใหม่)**
- เอกสารและไฟล์แนบทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์บน Server (/share/dms-data/) [cite: 2.1]
- ข้อมูล Metadata ของไฟล์ (เช่น ชื่อไฟล์, ขนาด, path) จะถูกเก็บในตาราง attachments (ตารางกลาง)
- ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงกับเอกสารประเภทต่างๆ ผ่านตารางเชื่อม (Junction tables) เช่น correspondence_attachments, circulation_attachments, shop_drawing_revision_attachments ,และ contracy_drawing_attachments
- สถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์นี้ แทนที่ แนวคิดเดิมที่จะแยกโฟลเดอร์ตามประเภทเอกสาร เพื่อรองรับการขยายระบบที่ดีกว่า
- **3.9.6 ความปลอดภัยของการจัดเก็บไฟล์:**
- ต้องมีการ scan virus สำหรับไฟล์ที่อัปโหลดทั้งหมด โดยใช้ ClamAV หรือบริการ third-party
- จำกัดประเภทไฟล์ที่อนุญาต: PDF, DWG, DOCX, XLSX, ZIP (ต้องระบุรายการที่ชัดเจน)
- ขนาดไฟล์สูงสุด: 50MB ต่อไฟล์
- ไฟล์ต้องถูกเก็บนอก web root และเข้าถึงได้ผ่าน authenticated endpoint เท่านั้น
- ต้องมี file integrity check (checksum) เพื่อป้องกันการแก้ไขไฟล์
- Download links ต้องมี expiration time (default: 24 ชั่วโมง)
- ต้องบันทึก audit log ทุกครั้งที่มีการดาวน์โหลดไฟล์สำคัญ
- **3.10. การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering):**
- 3.10.1. ระบบต้องสามารถสร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence_number) ได้โดยอัตโนมัติ
- 3.10.2. การนับเลข Running Number (SEQ) จะต้องนับแยกตาม Key ดังนี้: **โครงการ (Project)**, **องค์กรผู้ส่ง (Originator Organization)**, **ประเภทเอกสาร (Document Type)** และ **ปีปัจจุบัน (Year)**
- 3.10.3. ผู้ดูแลระบบ (Admin) ต้องสามารถกำหนด "รูปแบบ" (Format Template) ของเลขที่เอกสารได้ (เช่น {ORG_CODE}-{TYPE_CODE}-{YEAR_SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดแยกตามโครงการและประเภทเอกสาร
- 3.10.4. **ใช้ application-level locking** (Redis distributed lock) แทน stored procedure เพื่อป้องกัน race condition
- 3.10.5. ต้องมี retry mechanism และ fallback strategy เมื่อการ generate เลขที่เอกสารล้มเหลว
- **3.11 การจัดการ JSON Details**
- **3.11.1 วัตถุประสงค์**
- จัดเก็บข้อมูลแบบไดนามิกที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละประเภทของเอกสาร
- รองรับการขยายตัวของระบบโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง database schema
- จัดการ metadata และข้อมูลประกอบสำหรับ correspondence, routing, และ workflows
- **3.11.2 โครงสร้าง JSON Schema**
ระบบต้องมี predefined JSON schemas สำหรับประเภทเอกสารต่างๆ:
- **3.11.2.1 Correspondence Types**
- **GENERIC**: ข้อมูลพื้นฐานสำหรับเอกสารทั่วไป
- **RFI**: รายละเอียดคำถามและข้อมูลทางเทคนิค
- **RFA**: ข้อมูลการขออนุมัติแบบและวัสดุ
- **TRANSMITTAL**: รายการเอกสารที่ส่งต่อ
- **LETTER**: ข้อมูลจดหมายทางการ
- **EMAIL**: ข้อมูลอีเมล
- **3.11.2.2 Routing Types**
- **ROUTING_TEMPLATE**: กฎและเงื่อนไขการส่งต่อ
- **ROUTING_INSTANCE**: สถานะและประวัติการส่งต่อ
- **ROUTING_ACTION**: การดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
- **3.11.2.3 Audit Types**
- **AUDIT_LOG**: ข้อมูลการตรวจสอบ
- **SECURITY_SCAN**: ผลการตรวจสอบความปลอดภัย
- **3.11.3 Validation Rules**
- ต้องมี JSON schema validation สำหรับแต่ละประเภท
- ต้องรองรับ versioning ของ schema
- ต้องมี default values สำหรับ field ที่ไม่บังคับ
- ต้องตรวจสอบ data types และ format ให้ถูกต้อง
- **3.11.4 Performance Requirements**
- JSON field ต้องมีขนาดไม่เกิน 50KB
- ต้องรองรับ indexing สำหรับ field ที่ใช้ค้นหาบ่อย
- ต้องมี compression สำหรับ JSON ขนาดใหญ่
- **3.11.5 Security Requirements**
- ต้อง sanitize JSON input เพื่อป้องกัน injection attacks
- ต้อง validate JSON structure ก่อนบันทึก
- ต้อง encrypt sensitive data ใน JSON fields
## **🔐 4. ข้อกำหนดด้านสิทธิ์และการเข้าถึง (Access Control Requirements)**
- **4.1. ภาพรวม:** ผู้ใช้และองค์กรสามารถดูและแก้ไขเอกสารได้ตามสิทธิ์ที่ได้รับ โดยระบบสิทธิ์จะเป็นแบบ Role-Based Access Control (RBAC)
- **4.2. ลำดับชั้นของสิทธิ์ (Permission Hierarchy)**
- Global: สิทธิ์สูงสุดของระบบ
- Organization: สิทธิ์ภายในองค์กร เป็นสิทธิ์พื้นฐานของผู้ใช้
- Project: สิทธิ์เฉพาะในโครงการ จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในโครงการนั้น
- Contract: สิทธิ์เฉพาะในสัญญา จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในสัญญานั้น (สัญญาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ)
กฎการบังคับใช้: เมื่อตรวจสอบสิทธิ์ ระบบจะพิจารณาสิทธิ์จากทุกระดับที่ผู้ใช้มี และใช้ สิทธิ์ที่มากที่สุด (Most Permissive) เป็นตัวตัดสิน
ตัวอย่าง: ผู้ใช้ A เป็น Viewer ในองค์กร แต่ถูกมอบหมายเป็น Editor ในโครงการ X เมื่ออยู่ในโครงการ X ผู้ใช้ A จะมีสิทธิ์แก้ไขได้
- **4.3. การกำหนดบทบาท (Roles) และขอบเขต (Scope)**
| บทบาท (Role) | ขอบเขต (Scope) | คำอธิบาย | สิทธิ์หลัก (Key Permissions) |
| :------------------- | :------------- | :---------------------- | :------------------------------------------------------------------------------------- |
| **Superadmin** | Global | ผู้ดูแลระบบสูงสุด | ทำทุกอย่างในระบบ, จัดการองค์กร, จัดการข้อมูลหลักระดับ Global |
| **Org Admin** | Organization | ผู้ดูแลองค์กร | จัดการผู้ใช้ในองค์กร, จัดการบทบาท/สิทธิ์ภายในองค์กร, ดูรายงานขององค์กร |
| **Document Control** | Organization | ควบคุมเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไข/ลบเอกสาร, กำหนดสิทธิ์เอกสารภายในองค์กร |
| **Editor** | Organization | ผู้แก้ไขเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไขเอกสารที่ได้รับมอบหมาย |
| **Viewer** | Organization | ผู้ดูเอกสารขององค์กร | ดูเอกสารที่มีสิทธิ์เข้าถึง |
| **Project Manager** | Project | ผู้จัดการโครงการ | จัดการสมาชิกในโครงการ (เพิ่ม/ลบ/มอบบทบาท), สร้าง/จัดการสัญญาในโครงการ, ดูรายงานโครงการ |
| **Contract Admin** | Contract | ผู้ดูแลสัญญา | จัดการสมาชิกในสัญญา, สร้าง/จัดการข้อมูลหลักเฉพาะสัญญา (ถ้ามี), อนุมัติเอกสารในสัญญา |
- **4.4. กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding Workflow) ที่สมบูรณ์**
- **4.4.1. สร้างองค์กร (Organization)**
- **Superadmin** สร้างองค์กรใหม่ (เช่น บริษัท A)
- **Superadmin** แต่งตั้งผู้ใช้อย่างน้อย 1 คนให้เป็น **Org Admin** หรือ **Document Control** ของบริษัท A
- **4.4.2. เพิ่มผู้ใช้ในองค์กร**
- **Org Admin** ของบริษัท A เพิ่มผู้ใช้อื่นๆ (Editor, Viewer) เข้ามาในองค์กรของตน
- **4.4.3. มอบหมายผู้ใช้ให้กับโครงการ (Project)**
- **Project Manager** ของโครงการ X (ซึ่งอาจมาจากบริษัท A หรือบริษัทอื่น) ทำการ "เชิญ" หรือ "มอบหมาย" ผู้ใช้จากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาในโครงการ X
- ในขั้นตอนนี้ **Project Manager** จะกำหนด **บทบาทระดับโครงการ** (เช่น Project Member, หรืออาจไม่มีบทบาทพิเศษ ให้ใช้สิทธิ์จากระดับองค์กรไปก่อน)
- **4.4.4. เมอบหมายผู้ใช้ให้กับสัญญา (Contract)**
- **Contract Admin** ของสัญญา Y (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ X) ทำการเลือกผู้ใช้ที่อยู่ในโครงการ X แล้ว มอบหมายให้เข้ามาในสัญญา Y
- ในขั้นตอนนี้ **Contract Admin** จะกำหนด **บทบาทระดับสัญญา** (เช่น Contract Member) และสิทธิ์เฉพาะที่จำเป็น
- **4.4.5 Security Onboarding:**
- ต้องบังคับเปลี่ยน password ครั้งแรกสำหรับผู้ใช้ใหม่
- ต้องมี security awareness training สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง
- ต้องมี process สำหรับการรีเซ็ต password ที่ปลอดภัย
- ต้องบันทึก audit log ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง permissions
- **4.5. การจัดการข้อมูลหลัก (Master Data Management) ที่แบ่งตามระดับ**
| ข้อมูลหลัก | ผู้มีสิทธิ์จัดการ | ระดับ |
| :---------------------------------- | :------------------------------ | :--------------------------------- |
| ประเภทเอกสาร (Correspondence, RFA) | **Superadmin** | Global |
| สถานะเอกสาร (Draft, Approved, etc.) | **Superadmin** | Global |
| หมวดหมู่แบบ (Shop Drawing) | **Project Manager** | Project (สร้างใหม่ได้ภายในโครงการ) |
| Tags | **Org Admin / Project Manager** | Organization / Project |
| บทบาทและสิทธิ์ (Custom Roles) | **Superadmin / Org Admin** | Global / Organization |
| Document Numbering Formats | **Superadmin / Admin** | Global / Organization |
## **👥 5. ข้อกำหนดด้านผู้ใช้งาน (User Interface & Experience)**
- **5.1. Layout หลัก:** หน้าเว็บใช้รูปแบบ App Shell ที่ประกอบด้วย:
- Navbar (ส่วนบน): แสดงชื่อระบบ, เมนูผู้ใช้ (Profile), เมนูสำหรับ Document Control/เมนูสำหรับ Admin/Superadmin (จัดการผู้ใช้, จัดการสิทธิ์), และปุ่ม Login/Logout
- Sidebar (ด้านข้าง): เป็นเมนูหลักสำหรับเข้าถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอกสารทั้งหมด เช่น Dashboard, Correspondences, RFA, Drawings
- Main Content Area: พื้นที่สำหรับแสดงเนื้อหาหลักของหน้าที่เลือก
- **5.2. หน้า Landing Page:** เป็นหน้าแรกที่แสดงข้อมูลบางส่วนของโครงการสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่ได้ล็อกอิน
- **5.3. หน้า Dashboard:** เป็นหน้าแรกหลังจากล็อกอิน ประกอบด้วย:
- การ์ดสรุปภาพรวม (KPI Cards): แสดงข้อมูลสรุปที่สำคัญขององค์กร เช่น จำนวนเอกสาร, งานที่เกินกำหนด
- ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks Table): แสดงรายการงานทั้งหมดจาก Circulation ที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ
- Security Metrics: แสดงจำนวน files scanned, security incidents, failed login attempts
- **5.4. การติดตามสถานะ:** องค์กรสามารถติดตามสถานะเอกสารทั้งของตนเอง (Originator) และสถานะเอกสารที่ส่งมาถึงตนเอง (Recipient)
- **5.5. การจัดการข้อมูลส่วนตัว (Profile Page):** ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลส่วนตัวและเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองได้
- **5.6. การจัดการเอกสารทางเทคนิค (RFA & Workflow):** ผู้ใช้สามารถดู RFA ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว, ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.7. การจัดการใบเวียนเอกสาร (Circulation):** ผู้ใช้สามารถดู Circulation ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว,ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.8. การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals):** ผู้ใช้สามารถดู Transmittals ในรูปแบบรายการทั้งหมดได้ในหน้าเดียว
- **5.9. ข้อกำหนด UI/UX การแนบไฟล์ (File Attachment UX):**
- ระบบต้องรองรับการอัปโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน (Multi-file upload) เช่น การลากและวาง (Drag-and-Drop)
- ในหน้าอัปโหลด (เช่น สร้าง RFA หรือ Correspondence) ผู้ใช้ต้องสามารถกำหนดได้ว่าไฟล์ใดเป็น "เอกสารหลัก" (Main Document เช่น PDF) และไฟล์ใดเป็น "เอกสารแนบประกอบ" (Supporting Attachments เช่น .dwg, .docx, .zip)
- **Security Feedback:** แสดง security warnings สำหรับ file types ที่เสี่ยงหรือ files ที่ fail virus scan
- **File Type Indicators:** แสดง file type icons และ security status
## **6. ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
- **6.1. การบันทึกการกระทำ (Audit Log):** ทุกการกระทำที่สำคัญของผู้ใช้ (สร้าง, แก้ไข, ลบ, ส่ง) จะถูกบันทึกไว้ใน audit_logs เพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง
- **6.1.1 ขอบเขตการบันทึก Audit Log:**
- ทุกการสร้าง/แก้ไข/ลบ ข้อมูลสำคัญ (correspondences, RFAs, drawings, users, permissions)
- ทุกการเข้าถึงข้อมูล sensitive (user data, financial information)
- ทุกการเปลี่ยนสถานะ workflow (status transitions)
- ทุกการดาวน์โหลดไฟล์สำคัญ (contract documents, financial reports)
- ทุกการเปลี่ยนแปลง permission และ role assignment
- ทุกการล็อกอินที่สำเร็จและล้มเหลว
- ทุกการส่งคำขอ API ที่สำคัญ
- **6.1.2 ข้อมูลที่ต้องบันทึกใน Audit Log:**
- ผู้ใช้งาน (user_id)
- การกระทำ (action)
- ชนิดของ entity (entity_type)
- ID ของ entity (entity_id)
- ข้อมูลก่อนการเปลี่ยนแปลง (old_values) - สำหรับ update operations
- ข้อมูลหลังการเปลี่ยนแปลง (new_values) - สำหรับ update operations
- IP address
- User agent
- Timestamp
- Request ID สำหรับ tracing
- **6.2. การค้นหา (Search):** ระบบต้องมีฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูง ที่สามารถค้นหาเอกสาร **correspondence**, **rfa**, **shop_drawing**, **contract-drawing**, **transmittal** และ **ใบเวียน (Circulations)** จากหลายเงื่อนไขพร้อมกันได้ เช่น ค้นหาจากชื่อเรื่อง, ประเภท, วันที่, และ Tag
- **6.3. การทำรายงาน (Reporting):** สามารถจัดทำรายงานสรุปแยกประเภทของ Correspondence ประจำวัน, สัปดาห์, เดือน, และปีได้
- **6.4. ประสิทธิภาพ (Performance):** มีการใช้ Caching กับข้อมูลที่เรียกใช้บ่อย และใช้ Pagination ในตารางข้อมูลเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมาก
- **6.4.1 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ:**
- **API Response Time:** < 200ms (90th percentile) สำหรับ operation ทั่วไป
- **Search Query Performance:** < 500ms สำหรับการค้นหาขั้นสูง
- **File Upload Performance:** < 30 seconds สำหรับไฟล์ขนาด 50MB
- **Concurrent Users:** รองรับผู้ใช้พร้อมกันอย่างน้อย 100 คน
- **Database Connection Pool:** ขนาดเหมาะสมกับ workload (default: min 5, max 20 connections)
- **Cache Hit Ratio:** > 80% สำหรับ cached data
- **Application Startup Time:** < 30 seconds
- **6.4.2 Caching Strategy:**
- **Master Data Cache:** Roles, Permissions, Organizations, Project metadata (TTL: 1 hour)
- **User Session Cache:** User permissions และ profile data (TTL: 30 minutes)
- **Search Result Cache:** Frequently searched queries (TTL: 15 minutes)
- **File Metadata Cache:** Attachment metadata (TTL: 1 hour)
- **Document Cache:** Frequently accessed document metadata (TTL: 30 minutes)
- **ต้องมี cache invalidation strategy ที่ชัดเจน:**
- Invalidate on update/delete operations
- Time-based expiration
- Manual cache clearance สำหรับ admin operations
- ใช้ Redis เป็น distributed cache backend
- ต้องมี cache monitoring (hit/miss ratios)
- **6.5. ความปลอดภัย (Security):**
- มีระบบ Rate Limiting เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Brute-force
- การจัดการ Secret (เช่น รหัสผ่าน DB, JWT Secret) จะต้องทำผ่าน Environment Variable ของ Docker เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- **6.5.1 Rate Limiting Strategy:**
- **Anonymous Endpoints:** 100 requests/hour ต่อ IP address
- **Authenticated Endpoints:**
- Viewer: 500 requests/hour
- Editor: 1000 requests/hour
- Document Control: 2000 requests/hour
- Admin/Superadmin: 5000 requests/hour
- **File Upload Endpoints:** 50 requests/hour ต่อ user
- **Search Endpoints:** 500 requests/hour ต่อ user
- **Authentication Endpoints:** 10 requests/minute ต่อ IP address
- **ต้องมี mechanism สำหรับยกเว้น rate limiting สำหรับ trusted services**
- ต้องบันทึก log เมื่อมีการ trigger rate limiting
- **6.5.2 Error Handling และ Resilience:**
- ต้องมี circuit breaker pattern สำหรับ external service calls
- ต้องมี retry mechanism ด้วย exponential backoff
- ต้องมี graceful degradation เมื่อบริการภายนอกล้มเหลว
- Error messages ต้องไม่เปิดเผยข้อมูล sensitive
- **6.5.3 Input Validation:**
- ต้องมี input validation ทั้งฝั่ง client และ server (defense in depth)
- ต้องป้องกัน OWASP Top 10 vulnerabilities:
- SQL Injection (ใช้ parameterized queries ผ่าน ORM)
- XSS (input sanitization และ output encoding)
- CSRF (CSRF tokens สำหรับ state-changing operations)
- ต้อง validate file uploads:
- File type (white-list approach)
- File size
- File content (magic number verification)
- ต้อง sanitize user inputs ก่อนแสดงผลใน UI
- ต้องใช้ content security policy (CSP) headers
- ต้องมี request size limits เพื่อป้องกัน DoS attacks
- **6.5.4 Session และ Token Management:**
- **JWT token expiration:** 8 hours สำหรับ access token
- **Refresh token expiration:** 7 days
- **Refresh token mechanism:** ต้องรองรับ token rotation และ revocation
- **Token revocation on logout:** ต้องบันทึก revoked tokens จนกว่าจะ expire
- **Concurrent session management:**
- จำกัดจำนวน session พร้อมกันได้ (default: 5 devices)
- ต้องแจ้งเตือนเมื่อมี login จาก device/location ใหม่
- **Device fingerprinting:** สำหรับ security และ audit purposes
- **Password policy:**
- ความยาวขั้นต่ำ: 8 characters
- ต้องมี uppercase, lowercase, number, special character
- ต้องเปลี่ยน password ทุก 90 วัน
- ต้องป้องกันการใช้ password ที่เคยใช้มาแล้ว 5 ครั้งล่าสุด
- **6.6. การสำรองข้อมูลและการกู้คืน (Backup & Recovery):**
- ระบบจะต้องมีกลไกการสำรองข้อมูลอัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูล MariaDB [cite: 2.4] และไฟล์เอกสารทั้งหมดใน /share/dms-data [cite: 2.1] (เช่น ใช้ HBS 3 ของ QNAP หรือสคริปต์สำรองข้อมูล) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ต้องมีแผนการกู้คืนระบบ (Disaster Recovery Plan) ในกรณีที่ Server หลัก (QNAP) ใช้งานไม่ได้
- **6.6.1 ขั้นตอนการกู้คืน:**
- **Database Restoration Procedure:**
- สร้างจาก full backup ล่าสุด
- Apply transaction logs ถึง point-in-time ที่ต้องการ
- Verify data integrity post-restoration
- **File Storage Restoration Procedure:**
- Restore จาก QNAP snapshot หรือ backup
- Verify file integrity และ permissions
- **Application Redeployment Procedure:**
- Deploy จาก version ล่าสุดที่รู้ว่าทำงานได้
- Verify application health
- **Data Integrity Verification Post-Recovery:**
- Run data consistency checks
- Verify critical business data
- **Recovery Time Objective (RTO):** < 4 ชั่วโมง
- **Recovery Point Objective (RPO):** < 1 ชั่วโมง
- **6.7. กลยุทธ์การแจ้งเตือน (Notification Strategy):**
- **6.7.1 ระบบจะส่งการแจ้งเตือน (ผ่าน Email หรือ Line [cite: 2.7]) เมื่อมีการกระทำที่สำคัญ** ดังนี้:
1. เมื่อมีเอกสารใหม่ (Correspondence, RFA) ถูกส่งมาถึงองค์กรณ์ของเรา
2. เมื่อมีใบเวียน (Circulation) ใหม่ มอบหมายงานมาที่เรา
3. (ทางเลือก) เมื่อเอกสารที่เราส่งไป ถูกดำเนินการ (เช่น อนุมัติ/ปฏิเสธ)
4. (ทางเลือก) เมื่อใกล้ถึงวันครบกำหนด (Deadline) [cite: 3.2.5, 3.6.6, 3.7.5]
- **6.7.2 Notification Delivery Guarantees:**
- **At-least-once delivery:** สำหรับ important notifications
- **Retry mechanism:** ด้วย exponential backoff (max 3 retries)
- **Dead letter queue:** สำหรับ notifications ที่ส่งไม่สำเร็จหลังจาก retries
- **Delivery status tracking:** ต้องบันทึกสถานะการส่ง notifications
- **Fallback channels:** ถ้า Email ล้มเหลว ให้ส่งผ่าน SYSTEM notification
- **Notification preferences:** ผู้ใช้ต้องสามารถกำหนด channel preferences ได้
- **6.8. Monitoring และ Observability**
- **6.8.1 Application Monitoring:**
- **Health checks:** /health endpoint สำหรับ load balancer
- **Metrics collection:** Response times, error rates, throughput
- **Distributed tracing:** สำหรับ request tracing across services
- **Log aggregation:** Structured logging ด้วย JSON format
- **Alerting:** สำหรับ critical errors และ performance degradation
- **6.8.2 Business Metrics:**
- จำนวน documents created ต่อวัน
- Workflow completion rates
- User activity metrics
- System utilization rates
- Search query performance
- **6.8.3 Security Monitoring:**
- Failed login attempts
- Rate limiting triggers
- Virus scan results
- File download activities
- Permission changes
- **6.9 JSON Processing & Validation**
- **6.9.1 JSON Schema Management**
- ต้องมี centralized JSON schema registry
- ต้องรองรับ schema versioning และ migration
- ต้องมี schema validation during runtime
- **6.9.2 Performance Optimization**
- **Caching:** Cache parsed JSON structures
- **Compression:** ใช้ compression สำหรับ JSON ขนาดใหญ่
- **Indexing:** Support JSON path indexing สำหรับ query
- **6.9.3 Error Handling**
- ต้องมี graceful degradation เมื่อ JSON validation ล้มเหลว
- ต้องมี default fallback values
- ต้องบันทึก error logs สำหรับ validation failures
---
## **7. ข้อกำหนดด้านการทดสอบ (Testing Requirements)**
- **7.1. Unit Testing:**
- ต้องมี unit tests สำหรับ business logic ทั้งหมด
- Code coverage อย่างน้อย 70% สำหรับ backend services
- ต้องทดสอบ RBAC permission logic ทุกระดับ
- **7.2. Integration Testing:**
- ทดสอบการทำงานร่วมกันของ modules
- ทดสอบ database migrations และ data integrity
- ทดสอบ API endpoints ด้วย realistic data
- **7.3. End-to-End Testing:**
- ทดสอบ complete user workflows
- ทดสอบ document lifecycle จาก creation ถึง archival
- ทดสอบ cross-module integrations
- **7.4. Security Testing:**
- **Penetration Testing:** ทดสอบ OWASP Top 10 vulnerabilities
- **Security Audit:** Review code สำหรับ security flaws
- **Virus Scanning Test:** ทดสอบ file upload security
- **Rate Limiting Test:** ทดสอบ rate limiting functionality
- **7.5. Performance Testing:**
- **Load Testing:** ทดสอบด้วย realistic workloads
- **Stress Testing:** หา breaking points ของระบบ
- **Endurance Testing:** ทดสอบการทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- **7.6. Disaster Recovery Testing:**
- ทดสอบ backup และ restoration procedures
- ทดสอบ failover mechanisms
- ทดสอบ data integrity หลังการ recovery
---
## **8. ข้อกำหนดด้านการบำรุงรักษา (Maintenance Requirements)**
- **8.1. Log Retention:**
- Audit logs: 7 ปี
- Application logs: 1 ปี
- Performance metrics: 2 ปี
- **8.2. Monitoring และ Alerting:**
- ต้องมี proactive monitoring สำหรับ critical systems
- ต้องมี alerting สำหรับ security incidents
- ต้องมี performance degradation alerts
- **8.3. Patch Management:**
- ต้องมี process สำหรับ security patches
- ต้องทดสอบ patches ใน staging environment
- ต้องมี rollback plan สำหรับ failed updates
- **8.4. Capacity Planning:**
- ต้อง monitor resource utilization
- ต้องมี scaling strategy สำหรับ growth
- ต้องมี performance baselines และ trending
---
## **9. ข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Requirements)**
- **9.1. Data Privacy:**
- ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- ต้องมี data retention policies
- ต้องมี data deletion procedures
- **9.2. Audit Compliance:**
- ต้องรองรับ internal และ external audits
- ต้องมี comprehensive audit trails
- ต้องมี reporting capabilities สำหรับ compliance
- **9.3. Security Standards:**
- ต้องปฏิบัติตาม organizational security policies
- ต้องมี security incident response plan
- ต้องมี regular security assessments
---
## **10. ข้อกำหนดด้าน Testing Strategy**
### **10.1 Testing Gates แต่ละ Phase**
ทุก Phase ต้องผ่านการทดสอบต่อไปนี้ก่อนดำเนินการ Phase ถัดไป:
#### **10.1.1 Unit Testing Requirements**
- Code coverage อย่างน้อย 80% สำหรับ components ที่พัฒนาใน Phase
- ทดสอบ business logic ทั้งหมด
- ทดสอบ error scenarios และ edge cases
#### **10.1.2 Integration Testing Requirements**
- ทดสอบการทำงานร่วมกันของ modules ใน Phase
- ทดสอบ database operations
- ทดสอบ external service integrations
#### **10.1.3 Security Testing Requirements**
- ทดสอบ security vulnerabilities
- ทดสอบ permission และ access control
- ทดสอบ input validation
#### **10.1.4 Performance Testing Requirements**
- ทดสอบ response time ตามเป้าหมาย
- ทดสอบภายใต้ load ที่คาดหมาย
- ทดสอบ memory usage และ resource utilization
### **10.2 Testing Automation**
- ต้องมี automated test pipelines
- ต้องมี test reports และ metrics
- ต้องมี regression testing
---
## **📋 สรุปการปรับปรุงจากเวอร์ชันก่อนหน้า**
### **Security Enhancements:**
1. **File Upload Security** - Virus scanning, file type validation, access controls
2. **Input Validation** - OWASP Top 10 protection, XSS/CSRF prevention
3. **Rate Limiting** - Comprehensive rate limiting strategy
4. **Secrets Management** - Secure handling of sensitive configuration
### **Architecture Improvements:**
1. **Document Numbering** - Changed from Stored Procedure to Application-level Locking
2. **Resilience Patterns** - Circuit breaker, retry mechanisms, fallback strategies
3. **Monitoring & Observability** - Health checks, metrics, distributed tracing
4. **Caching Strategy** - Comprehensive caching with proper invalidation
### **Performance Targets:**
1. **API Response Time** - < 200ms (90th percentile)
2. **Search Performance** - < 500ms
3. **File Upload** - < 30 seconds for 50MB files
4. **Cache Hit Ratio** - > 80%
### **Operational Excellence:**
1. **Disaster Recovery** - RTO < 4 hours, RPO < 1 hour
2. **Backup Procedures** - Comprehensive backup and restoration
3. **Security Testing** - Penetration testing and security audits
4. **Performance Testing** - Load testing with realistic workloads
เอกสารนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างระบบที่มีความปลอดภัย, มีความทนทาน, และมีประสิทธิภาพสูง พร้อมรองรับการเติบโตในอนาคตและความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
**หมายเหตุ:** Requirements นี้จะถูกทบทวนและปรับปรุงเป็นระยะตาม feedback จากทีมพัฒนาและความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
## **Document Control:**
- Document for Application Requirements Specification DMS v1.4.1
- Version: 1.4.1
- Date: 2025-11-16
- Author: System Architecture Team
- Status: FINAL
- Classification: Internal Technical Documentation
---
_End of Requirements Specification

View File

@@ -1,480 +1,480 @@
# **Documents Management Sytem Version 1.4.0: แนวทางการพัฒนา FullStackJS**
## **🧠 ปรัชญาทั่วไป**
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแบบครบวงจรสำหรับการพัฒนา NestJS Backend, NextJS Frontend และ Tailwind-based UI/UX ในสภาพแวดล้อม TypeScript มุ่งเน้นที่ ความชัดเจน (clarity), ความง่ายในการบำรุงรักษา (maintainability), ความสอดคล้องกัน (consistency) และ การเข้าถึงได้ (accessibility) ตลอดทั้งสแต็ก
## **⚙️ แนวทางทั่วไปสำหรับ TypeScript**
### **หลักการพื้นฐาน**
* ใช้ **ภาษาอังกฤษ** สำหรับโค้ด
* ใช้ **ภาษาไทย** สำหรับ comment และเอกสารทั้งหมด
* กำหนดไทป์ (type) อย่างชัดเจนสำหรับตัวแปร, พารามิเตอร์ และค่าที่ส่งกลับ (return values) ทั้งหมด
* หลีกเลี่ยงการใช้ any; ให้สร้างไทป์ (types) หรืออินเทอร์เฟซ (interfaces) ที่กำหนดเอง
* ใช้ **JSDoc** สำหรับคลาส (classes) และเมธอด (methods) ที่เป็น public
* ส่งออก (Export) **สัญลักษณ์หลัก (main symbol) เพียงหนึ่งเดียว** ต่อไฟล์
* หลีกเลี่ยงบรรทัดว่างภายในฟังก์ชัน
* ระบุ // File: path/filename ในบรรทัดแรกของทุกไฟล์
* ระบุ // บันทึกการแก้ไข, หากมีการแก้ไขเพิ่มในอนาคต ให้เพิ่มบันทึก
### **ข้อตกลงในการตั้งชื่อ (Naming Conventions)**
| Entity (สิ่งที่ตั้งชื่อ) | Convention (รูปแบบ) | Example (ตัวอย่าง) |
| :---- | :---- | :---- |
| Classes | PascalCase | UserService |
| Property | snake_sase | user_id |
| Variables & Functions | camelCase | getUserInfo |
| Files & Folders | kebab-case | user-service.ts |
| Environment Variables | UPPERCASE | DATABASE\URL |
| Booleans | Verb \+ Noun | isActive, canDelete, hasPermission |
ใช้คำเต็ม — ไม่ใช้อักษรย่อ — ยกเว้นคำมาตรฐาน (เช่น API, URL, req, res, err, ctx)
## **🧩 ฟังก์ชัน (Functions)**
* เขียนฟังก์ชันให้สั้น และทำ **หน้าที่เพียงอย่างเดียว** (single-purpose) (\< 20 บรรทัด)
* ใช้ **early returns** เพื่อลดการซ้อน (nesting) ของโค้ด
* ใช้ **map**, **filter**, **reduce** แทนการใช้ loops เมื่อเหมาะสม
* ควรใช้ **arrow functions** สำหรับตรรกะสั้นๆ, และใช้ **named functions** ในกรณีอื่น
* ใช้ **default parameters** แทนการตรวจสอบค่า null
* จัดกลุ่มพารามิเตอร์หลายตัวให้เป็นอ็อบเจกต์เดียว (RO-RO pattern)
* ส่งค่ากลับ (Return) เป็นอ็อบเจกต์ที่มีไทป์กำหนด (typed objects) ไม่ใช่ค่าพื้นฐาน (primitives)
* รักษาระดับของสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstraction level) ให้เป็นระดับเดียวในแต่ละฟังก์ชัน
## **🧱 การจัดการข้อมูล (Data Handling)**
* ห่อหุ้มข้อมูล (Encapsulate) ในไทป์แบบผสม (composite types)
* ใช้ **immutability** (การไม่เปลี่ยนแปลงค่า) ด้วย readonly และ as const
* ทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Validations) ในคลาสหรือ DTOs ไม่ใช่ภายในฟังก์ชันทางธุรกิจ
* ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยใช้ DTOs ที่มีไทป์กำหนดเสมอ
## **🧰 คลาส (Classes)**
* ปฏิบัติตามหลักการ **SOLID**
* ควรใช้ **composition มากกว่า inheritance** (Prefer composition over inheritance)
* กำหนด **interfaces** สำหรับสัญญา (contracts)
* ให้คลาสมุ่งเน้นการทำงานเฉพาะอย่างและมีขนาดเล็ก (\< 200 บรรทัด, \< 10 เมธอด, \< 10 properties)
## **🚨 การจัดการข้อผิดพลาด (Error Handling)**
* ใช้ Exceptions สำหรับข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิด
* ดักจับ (Catch) ข้อผิดพลาดเพื่อแก้ไขหรือเพิ่มบริบท (context) เท่านั้น; หากไม่เช่นนั้น ให้ใช้ global error handlers
* ระบุข้อความข้อผิดพลาด (error messages) ที่มีความหมายเสมอ
## **🧪 การทดสอบ (ทั่วไป) (Testing (General))**
* ใช้รูปแบบ **ArrangeActAssert**
* ใช้ชื่อตัวแปรในการทดสอบที่สื่อความหมาย (inputData, expectedOutput)
* เขียน **unit tests** สำหรับ public methods ทั้งหมด
* จำลอง (Mock) การพึ่งพาภายนอก (external dependencies)
* เพิ่ม **acceptance tests** ต่อโมดูลโดยใช้รูปแบบ GivenWhen-Then
## **🏗️ แบ็กเอนด์ (NestJS) (Backend (NestJS))**
### **หลักการ**
* **สถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ (Modular architecture)**:
* หนึ่งโมดูลต่อหนึ่งโดเมน
* โครงสร้างแบบ Controller → Service → Repository (Model)
* API-First: มุ่งเน้นการสร้าง API ที่มีคุณภาพสูง มีเอกสารประกอบ (Swagger) ที่ชัดเจนสำหรับ Frontend Team
* DTOs ที่ตรวจสอบความถูกต้องด้วย **class-validator**
* ใช้ **MikroORM** (หรือ TypeORM/Prisma) สำหรับการคงอยู่ของข้อมูล (persistence) ซึ่งสอดคล้องกับสคีมา MariaDB
* ห่อหุ้มโค้ดที่ใช้ซ้ำได้ไว้ใน **common module** (@app/common):
* Configs, decorators, DTOs, guards, interceptors, notifications, shared services, types, validators
### **ฟังก์ชันหลัก (Core Functionalities)**
* Global **filters** สำหรับการจัดการ exception
* **Middlewares** สำหรับการจัดการ request
* **Guards** สำหรับการอนุญาต (permissions) และ RBAC
* **Interceptors** สำหรับการแปลงข้อมูล response และการบันทึก log
### **ข้อจำกัดในการ Deploy (QNAP Container Station)**
* **ห้ามใช้ไฟล์ .env** ในการตั้งค่า Environment Variables [cite: 2.1]
* การตั้งค่าทั้งหมด (เช่น Database connection string, JWT secret) **จะต้องถูกกำหนดผ่าน Environment Variable ใน docker-compose.yml โดยตรง** [cite: 6.5] ซึ่งจะจัดการผ่าน UI ของ QNAP Container Station [cite: 2.1]
### **โครงสร้างโมดูลตามโดเมน (Domain-Driven Module Structure)**
เพื่อให้สอดคล้องกับสคีมา SQL (LCBP3-DMS) เราจะใช้โครงสร้างโมดูลแบบ **Domain-Driven (แบ่งตามขอบเขตธุรกิจ)** แทนการแบ่งตามฟังก์ชัน:
1. **CommonModule:**
* เก็บ Services ที่ใช้ร่วมกัน เช่น DatabaseModule, FileStorageService (จัดการไฟล์ใน QNAP), AuditLogService, NotificationService
* จัดการ audit_logs
* NotificationService ต้องรองรับ Triggers ที่ระบุใน Requirement 6.7 [cite: 6.7]
2. **AuthModule:**
* จัดการะการยืนยันตัวตน (JWT, Guards)
* **(สำคัญ)** ต้องรับผิดชอบการตรวจสอบสิทธิ์ **4 ระดับ** [cite: 4.2]: สิทธิ์ระดับระบบ (Global Role), สิทธิ์ระดับองกรณ์ (Organization Role), สิทธิ์ระดับโปรเจกต์ (Project Role), และ สิทธิ์ระดับสัญญา (Contract Role)
* **(สำคัญ)** ต้องมี API สำหรับ **Admin Panel** เพื่อ:
* สร้างและจัดการ Role และการจับคู่ Permission แบบไดนามิก [cite: 4.3]
* ให้ Superadmin สร้าง Organizations และกำหนด Org Admin ได้ [cite: 4.6]
* ให้ Superadmin/Admin จัดการ document_number_formats (รูปแบบเลขที่เอกสาร), document_number_counters (Running Number) [cite: 3.10]
3. **UserModule:**
* จัดการ users, roles, permissions, global_default_roles, role_permissions, user_roles, user_project_roles
* **(สำคัญ)** ต้องมี API สำหรับ **Admin Panel** เพื่อ:
* สร้างและจัดการ Role และการจับคู่ Permission แบบไดนามิก [cite: 4.3]
4. **ProjectModule:**
* จัดการ projects, organizations, contracts, project_parties, contract_parties
5. **MasterModule:**
* จัดการ master data (correspondence_types, rfa_types, rfa_status_codes, rfa_approve_codes, circulation_status_codes, correspondence_types, correspondence_status, tags) [cite: 4.5]
6. **CorrespondenceModule (โมดูลศูนย์กลาง):**
* จัดการ correspondences, correspondence_revisions, correspondence_tags
* **(สำคัญ)** Service นี้ต้อง Inject DocumentNumberingService เพื่อขอเลขที่เอกสารใหม่ก่อนการสร้าง
* **(สำคัญ)** ตรรกะการสร้าง/อัปเดต Revision จะอยู่ใน Service นี้
* จัดการ correspondence_attachments (ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
* รับผิดชอบ Routing **Correspondence Routing** (correspondence_routings, correspondence_routing_template_steps, correspondence_routing_templates, correspondence_status_transitions) สำหรับการส่งต่อเอกสารทั่วไประหว่างองค์กร
7. **RfaModule:**
* จัดการ rfas, rfa_revisions, rfa_items
* รับผิดชอบเวิร์กโฟลว์ **"RFA Workflows"** (rfa_workflows, rfa_workflow_templates, rfa_workflow_template_steps, rfa_status_transitions) สำหรับการอนุมัติเอกสารทางเทคนิค
8. **DrawingModule:**
* จัดการ shop_drawings, shop_drawing_revisions, contract_drawings, contract_drawing_volumes, contract_drawing_cats, contract_drawing_sub_cats, shop_drawing_main_categories, shop_drawing_sub_categories, contract_drawing_subcat_cat_maps, shop_drawing_revision_contract_refs
* จัดการ shop_drawing_revision_attachments และ contract_drawing_attachments(ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
9. **CirculationModule:**
* จัดการ circulations, circulation_templates, circulation_assignees
* จัดการ circulation_attachments (ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
* รับผิดชอบเวิร์กโฟลว์ **"Circulations"** (circulation_status_transitions, circulation_template_assignees, circulation_assignees, circulation_recipients, circulation_actions, circulation_action_documents)สำหรับการเวียนเอกสาร **ภายในองค์กร**
10. **TransmittalModule:**
* จัดการ transmittals และ transmittal_items
11. **SearchModule:**
* ให้บริการค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) [cite: 6.2] โดยใช้ **Elasticsearch** เพื่อรองรับการค้นหาแบบ Full-text จากชื่อเรื่อง, รายละเอียด, เลขที่เอกสาร, ประเภท, วันที่, และ Tags
* ระบบจะใช้ Elasticsearch Engine ในการจัดทำดัชนีเพื่อการค้นหาข้อมูลเชิงลึกจากเนื้อหาของเอกสาร โดยข้อมูลจะถูกส่งไปทำดัชนีจาก Backend (NestJS) ทุกครั้งที่มีการสร้างหรือแก้ไขเอกสาร
12. **DocumentNumberingModule:**
* **สถานะ:** เป็น Module ภายใน (Internal Module) ไม่เปิด API สู่ภายนอก
* **หน้าที่:** ให้บริการ DocumentNumberingService ที่ Module อื่น (เช่น CorrespondenceModule) จะ Inject ไปใช้งาน
* **ตรรกะ:** รับผิดชอบการสร้างเลขที่เอกสาร โดยการเรียกใช้ Stored Procedure *sp_get_next_document_number** เพื่อป้องกัน Race Condition
### **สถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture)**
โครงสร้างโมดูล (Module Structure)
```bash
📁 src
├── 📄 app.module.ts
├── 📄 main.ts
├── 📁 common # @app/common (โมดูลส่วนกลาง)
│ ├── 📁 auth # AuthModule (JWT, Guards)
│ ├── 📁 config # Configuration
│ ├── 📁 decorators # Custom Decorators (เช่น @RequirePermission)
│ ├── 📁 entities # Shared Entities (User, Role, Permission)
│ ├── 📁 exceptions # Global Exception Filters
│ ├── 📁 file-storage # FileStorageService
│ ├── 📁 guards # Custom Guards (RBAC Guard)
│ ├── 📁 interceptors # Interceptors (Audit Log, Transform)
│ └── 📁 services # Shared Services (NotificationService)
├── 📁 modules
│ ├── 📁 user # UserModule (จัดการ Users, Roles, Permissions)
│ ├── 📁 project # ProjectModule (จัดการ Projects, Organizations, Contracts)
│ ├── 📁 correspondence # CorrespondenceModule (จัดการเอกสารโต้ตอบ)
│ ├── 📁 rfa # RfaModule (จัดการเอกสารขออนุมัติ)
│ ├── 📁 drawing # DrawingModule (จัดการแบบแปลน)
│ ├── 📁 circulation # CirculationModule (จัดการใบเวียน)
│ ├── 📁 transmittal # TransmittalModule (จัดการเอกสารนำส่ง)
│ ├── 📁 search # SearchModule (ค้นหาขั้นสูงด้วย Elasticsearch)
│ └── 📁 document-numbering # DocumentNumberingModule (Internal Module)
└── 📁 database # Database Migration & Seeding Scripts
```
### **เเทคโนโลยีที่ใช้ (Technology Stack)**
| ส่วน | Library/Tool | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| **Framework** | `@nestjs/core`, `@nestjs/common` | Core Framework |
| **Language** | `TypeScript` | ใช้ TypeScript ทั้งระบบ |
| **Database** | `MariaDB 10.11` | ฐานข้อมูลหลัก |
| **ORM** | `@nestjs/typeorm`, `typeorm` | 🗃️จัดการการเชื่อมต่อและ Query ฐานข้อมูล |
| **Validation** | `class-validator`, `class-transformer` | 📦ตรวจสอบและแปลงข้อมูลใน DTO |
| **Auth** | `@nestjs/jwt`, `@nestjs/passport`, `passport-jwt` | 🔐การยืนยันตัวตนด้วย JWT |
|**Authorization** | `casl` | 🔐จัดการสิทธิ์แบบ RBAC |
| **File Upload** | `multer` | 📁จัดการการอัปโหลดไฟล์ |
| **Search** | `@nestjs/elasticsearch` | 🔍สำหรับการค้นหาขั้นสูง |
| **Notification** | `nodemailer` | 📬ส่งอีเมลแจ้งเตือน |
| **Scheduling** | `@nestjs/schedule` | 📬สำหรับ Cron Jobs (เช่น แจ้งเตือน Deadline) |
| **Logging** | `winston` | 📊บันทึก Log ที่มีประสิทธิภาพ |
| **Testing** | `@nestjs/testing`, `jest`, `supertest` | 🧪ทดสอบ Unit, Integration และ E2E |
| **Documentation** | `@nestjs/swagger` | 🌐สร้าง API Documentation อัตโนมัติ |
| **Security** | `helmet`, `rate-limiter-flexible` | 🛡️เพิ่มความปลอดภัยให้ API |
เราจะแบ่งการทดสอบเป็น 3 ระดับ โดยใช้ **Jest** และ @nestjs/testing:
* **Unit Tests (การทดสอบหน่วยย่อย):**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ Logic ภายใน Service, Guard, หรือ Pipe โดยจำลอง (Mock) Dependencies ทั้งหมด
* **สิ่งที่ต้องทดสอบ:** Business Logic (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow, การตรวจสอบ Deadline) [cite: 2.9.1], ตรรกะการตรวจสอบสิทธิ์ (Auth Guard) ทั้ง 4 ระดับ
* **Integration Tests (การทดสอบการบูรณาการ):**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบการทำงานร่วมกันของ Controller -> Service -> Repository (Database)
* **เทคนิค:** ใช้ **Test Database แยกต่างหาก** (ห้ามใช้ Dev DB) และใช้ supertest เพื่อยิง HTTP Request จริงไปยัง App
* **สิ่งที่ต้องทดสอบ:** การเรียก sp\get\next\document\number [cite: 2.9.3] และการทำงานของ Views (เช่น v_user_tasks)
* **E2E (End-to-End) Tests:**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ API Contract ว่า Response Body Shape ตรงตามเอกสาร Swagger เพื่อรับประกันทีม Frontend
### **🗄️ Backend State Management**
Backend (NestJS) ควรเป็น **Stateless** (ไม่เก็บสถานะ) "State" ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บใน MariaDB
* **Request-Scoped State (สถานะภายใน Request เดียว):**
* **ปัญหา:** จะส่งต่อข้อมูล (เช่น User ที่ล็อกอิน) ระหว่าง Guard และ Service ใน Request เดียวกันได้อย่างไร?
* **วิธีแก้:** ใช้ **Request-Scoped Providers** ของ NestJS (เช่น AuthContextService) เพื่อเก็บข้อมูล User ปัจจุบันที่ได้จาก AuthGuard และให้ Service อื่น Inject ไปใช้
* **Application-Scoped State (การ Caching):**
* **ปัญหา:** ข้อมูล Master (เช่น roles, permissions, organizations) ถูกเรียกใช้บ่อย
* **วิธีแก้:** ใช้ **Caching** (เช่น @nestjs/cache-manager) เพื่อ Caching ข้อมูลเหล่านี้ และลดภาระ Database
### **การไหลของข้อมูล (Data Flow)**
1. Request: ผ่าน Nginx Proxy Manager -> NestJS Controller
2. Authentication: JWT Guard ตรวจสอบ Token และดึงข้อมูล User
3. Authorization: RBAC Guard (ใช้ CASL) ตรวจสอบสิทธิ์จาก Decorators (@RequirePermission)
4. Validation: Validation Pipe (ใช้ class-validator) ตรวจสอบ DTO
5. Business Logic: Service Layer ประมวลผลตรรกะทางธุรกิจ
6. Data Access: Repository Layer (ใช้ TypeORM) ติดต่อกับฐานข้อมูล MariaDB
7. Response: ส่งกลับไปยัง Frontend พร้อมสถานะและข้อมูลที่เหมาะสม
# **🖥️ ฟรอนต์เอนด์ (NextJS / React / UI) (Frontend (NextJS / React / UI))**
### **โปรไฟล์นักพัฒนา (Developer Profile)**
วิศวกร TypeScript + React/NextJS ระดับ Senior
เชี่ยวชาญ TailwindCSS, Shadcn/UI, และ Radix สำหรับการพัฒนา UI
### **แนวทางการพัฒนาโค้ด (Code Implementation Guidelines)**
* ใช้ **early returns** เพื่อความชัดเจน
* ใช้คลาสของ **TailwindCSS** ในการกำหนดสไตล์เสมอ
* ควรใช้ class: syntax แบบมีเงื่อนไข (หรือ utility clsx) มากกว่าการใช้ ternary operators ใน class strings
* ใช้ **const arrow functions** สำหรับ components และ handlers
* Event handlers ให้ขึ้นต้นด้วย handle... (เช่น handleClick, handleSubmit)
* รวมแอตทริบิวต์สำหรับการเข้าถึง (accessibility) ด้วย:
tabIndex="0", aria-label, onKeyDown, ฯลฯ
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโค้ดทั้งหมด **สมบูรณ์**, **ผ่านการทดสอบ**, และ **ไม่ซ้ำซ้อน (DRY)**
* ต้อง import โมดูลที่จำเป็นต้องใช้อย่างชัดเจนเสมอ
### **UI/UX ด้วย React**
* ใช้ **semantic HTML**
* ใช้คลาสของ **Tailwind** ที่รองรับ responsive (sm:, md:, lg:)
* รักษาลำดับชั้นของการมองเห็น (visual hierarchy) ด้วยการใช้ typography และ spacing
* ใช้ **Shadcn** components (Button, Input, Card, ฯลฯ) เพื่อ UI ที่สอดคล้องกัน
* ทำให้ components มีขนาดเล็กและมุ่งเน้นการทำงานเฉพาะอย่าง
* ใช้ utility classes สำหรับการจัดสไตล์อย่างรวดเร็ว (spacing, colors, text, ฯลฯ)
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับ **ARIA** และใช้ semantic markup
### **การตรวจสอบฟอร์มและข้อผิดพลาด (Form Validation & Errors)**
* ใช้ไลบรารีฝั่ง client เช่น zod และ react-hook-form
* แสดงข้อผิดพลาดด้วย **alert components** หรือข้อความ inline
* ต้องมี labels, placeholders, และข้อความ feedback
### **🧪 Frontend Testing**
เราจะใช้ **React Testing Library (RTL)** สำหรับการทดสอบ Component และ **Playwright** สำหรับ E2E:
* **Unit Tests (การทดสอบหน่วยย่อย):**
* **เครื่องมือ:** Vitest + RTL
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ Component ขนาดเล็ก (เช่น Buttons, Inputs) หรือ Utility functions
* **Integration Tests (การทดสอบการบูรณาการ):**
* **เครื่องมือ:** RTL + **Mock Service Worker (MSW)**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบว่า Component หรือ Page ทำงานกับ API (ที่จำลองขึ้น) ได้ถูกต้อง
* **เทคนิค:** ใช้ MSW เพื่อจำลอง NestJS API และทดสอบว่า Component แสดงผลข้อมูลจำลองได้ถูกต้องหรือไม่ (เช่น ทดสอบหน้า Dashboard [cite: 5.3] ที่ดึงข้อมูลจาก v_user_tasks)
* **E2E (End-to-End) Tests:**
* **เครื่องมือ:** **Playwright**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ User Flow ทั้งระบบโดยอัตโนมัติ (เช่น ล็อกอิน -> สร้าง RFA -> ตรวจสอบ Workflow Visualization [cite: 5.6])
### **🗄️ Frontend State Management**
สำหรับ Next.js App Router เราจะแบ่ง State เป็น 4 ระดับ:
1. **Local UI State (สถานะ UI ชั่วคราว):**
* **เครื่องมือ:** useState, useReducer
* **ใช้เมื่อ:** จัดการสถานะเล็กๆ ที่จบใน Component เดียว (เช่น Modal เปิด/ปิด, ค่าใน Input)
2. **Server State (สถานะข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์):**
* **เครื่องมือ:** **React Query (TanStack Query)** หรือ SWR
* **ใช้เมื่อ:** จัดการข้อมูลที่ดึงมาจาก NestJS API (เช่น รายการ correspondences, rfas, drawings)
* **ทำไม:** React Query เป็น "Cache" ที่จัดการ Caching, Re-fetching, และ Invalidation ให้โดยอัตโนมัติ
3. **Global Client State (สถานะส่วนกลางฝั่ง Client):**
* **เครื่องมือ:** **Zustand** (แนะนำ) หรือ Context API
* **ใช้เมื่อ:** จัดการข้อมูลที่ต้องใช้ร่วมกันทั่วทั้งแอป และ *ไม่ใช่* ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ (เช่น ข้อมูล User ที่ล็อกอิน, สิทธิ์ Permissions)
4. **Form State (สถานะของฟอร์ม):**
* **เครื่องมือ:** **React Hook Form** + **Zod**
* **ใช้เมื่อ:** จัดการฟอร์มที่ซับซ้อน (เช่น ฟอร์มสร้าง RFA, ฟอร์ม Circulation [cite: 3.7])
# **🔗 แนวทางการบูรณาการ Full Stack (Full Stack Integration Guidelines)**
| Aspect (แง่มุม) | Backend (NestJS) | Frontend (NextJS) | UI Layer (Tailwind/Shadcn) |
| :---- | :---- | :---- | :---- |
| API | REST / GraphQL Controllers | API hooks ผ่าน fetch/axios/SWR | Components ที่รับข้อมูล |
| Validation (การตรวจสอบ) | class-validator DTOs | zod / react-hook-form | สถานะของฟอร์ม/input ใน Shadcn |
| Auth (การยืนยันตัวตน) | Guards, JWT | NextAuth / cookies | สถานะ UI ของ Auth (loading, signed in) |
| Errors (ข้อผิดพลาด) | Global filters | Toasts / modals | Alerts / ข้อความ feedback |
| Testing (การทดสอบ) | Jest (unit/e2e) | Vitest / Playwright | Visual regression |
| Styles (สไตล์) | Scoped modules (ถ้าจำเป็น) | Tailwind / Shadcn | Tailwind utilities |
| Accessibility (การเข้าถึง) | Guards + filters | ARIA attributes | Semantic HTML |
## **🗂️ ข้อตกลงเฉพาะสำหรับ DMS (LCBP3-DMS)**
ส่วนนี้ขยายแนวทาง FullStackJS ทั่วไปสำหรับโปรเจกต์ **LCBP3-DMS** โดยมุ่งเน้นไปที่เวิร์กโฟลว์การอนุมัติเอกสาร (Correspondence, RFA, Drawing, Contract, Transmittal, Circulation)
### **🧩 RBAC และการควบคุมสิทธิ์ (RBAC & Permission Control)**
ใช้ Decorators เพื่อบังคับใช้สิทธิ์การเข้าถึง โดยอ้างอิงสิทธิ์จากตาราง permissions
@RequirePermission('rfas.respond') // ต้องตรงกับ 'permission\code'
@Put(':id')
updateRFA(@Param('id') id: string) {
return this.rfaService.update(id);
}
### **Roles (บทบาท)**
* **Superadmin**: ไม่มีข้อจำกัดใดๆ [cite: 4.3]
* **Admin**: มีสิทธิ์เต็มที่ในองค์กร [cite: 4.3]
* **Document Control**: เพิ่ม/แก้ไข/ลบ เอกสารในองค์กร [cite: 4.3]
* **Editor**: สามารถ เพิ่ม/แก้ไข เอกสารที่กำหนด [cite: 4.3]
* **Viewer**: สามารถดู เอกสาร [cite: 4.3]
### **ตัวอย่าง Permissions (จากตาราง permissions)**
* rfas.view, rfas.create, rfas.respond, rfas.delete
* drawings.view, drawings.upload, drawings.delete
* corr.view, corr.manage
* transmittals.manage
* cirs.manage
* project\parties.manage
การจับคู่ระหว่าง roles และ permissions **เริ่มต้น** จะถูก seed ผ่านสคริปต์ (ดังที่เห็นในไฟล์ SQL)**อย่างไรก็ตาม AuthModule/UserModule ต้องมี API สำหรับ Admin เพื่อสร้าง Role ใหม่และกำหนดสิทธิ์ (Permissions) เพิ่มเติมได้ในภายหลัง** [cite: 4.3]
## **🧾 มาตรฐาน AuditLog (AuditLog Standard)**
บันทึกการดำเนินการ CRUD และการจับคู่ทั้งหมดลงในตาราง audit_logs
| Field (ฟิลด์) | Type (จาก SQL) | Description (คำอธิบาย) |
| :---- | :---- | :---- |
| audit_id | BIGINT | Primary Key |
| user_id | INT | ผู้ใช้ที่ดำเนินการ (FK -> users) |
| action | VARCHAR(100) | rfa.create, correspondence.update, login.success |
| entity_type | VARCHAR(50) | ชื่อตาราง/โมดูล เช่น 'rfa', 'correspondence' |
| entity_id | VARCHAR(50) | Primary ID ของระเบียนที่ได้รับผลกระทบ |
| details_json | JSON | ข้อมูลบริบท (เช่น ฟิลด์ที่มีการเปลี่ยนแปลง) |
| ip_address | VARCHAR(45) | IP address ของผู้ดำเนินการ |
| user_agent | VARCHAR(255) | User Agent ของผู้ดำเนินการ |
| created_at | TIMESTAMP | Timestamp (UTC) |
## **📂 การจัดการไฟล์ (File Handling) (ปรับปรุงใหม่)**
### **มาตรฐานการอัปโหลดไฟล์ (File Upload Standard)**
* **ตรรกะใหม่:** การอัปโหลดไฟล์ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย FileStorageService และบันทึกข้อมูลไฟล์ลงในตาราง attachments (ตารางกลาง)
* ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงไปยัง Entity ที่ถูกต้องผ่าน **ตารางเชื่อม (Junction Tables)** เท่านั้น:
* correspondence_attachments (เชื่อม Correspondence กับ Attachments)
* circulation_attachments (เชื่อม Circulation กับ Attachments)
* shop_drawing_revision_attachments (เชื่อม Shop Drawing Revision กับ Attachments)
* contract_drawing_attachments (เชื่อม Contract Drawing กับ Attachments)
* เส้นทางจัดเก็บไฟล์ (Upload path): อ้างอิงจาก Requirement 2.1 คือ /share/dms-data [cite: 2.1] โดย FileStorageService จะสร้างโฟลเดอร์ย่อยแบบรวมศูนย์ (เช่น /share/dms-data/uploads/{YYYY}/{MM}/[stored\filename])
* ประเภทไฟล์ที่อนุญาต: pdf, dwg, docx, xlsx, zip
* ขนาดสูงสุด: **50 MB**
* จัดเก็บนอก webroot
* ให้บริการไฟล์ผ่าน endpoint ที่ปลอดภัย /files/:attachment_id/download
### **การควบคุมการเข้าถึง (Access Control)**
การเข้าถึงไฟล์ไม่ใช่การเข้าถึงโดยตรง endpoint /files/:attachment_id/download จะต้อง:
1. ค้นหาระเบียน attachment
2. ตรวจสอบว่า attachment_id นี้ เชื่อมโยงกับ Entity ใด (เช่น correspondence, circulation, shop_drawing_revision, contract_drawing) ผ่านตารางเชื่อม
3. ตรวจสอบว่าผู้ใช้มีสิทธิ์ (permission) ในการดู Entity ต้นทางนั้นๆ หรือไม่
## **🔟 การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering) [cite: 3.10]**
* **เป้าหมาย:** สร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence\number) โดยอัตโนมัติ ตามรูปแบบที่กำหนด
* **ตรรกะการนับ:** การนับ Running number (SEQ) จะนับแยกตาม Key: **Project + Originator Organization + Document Type + Year**
* **ตาราง SQL:**
* document_number_formats: Admin ใช้กำหนด "รูปแบบ" (Template) ของเลขที่ (เช่น {ORG\CODE}-{TYPE\CODE}-{YEAR\SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดตาม **Project** และ **Document Type** [cite: 4.5]
* document_number_counters: ระบบใช้เก็บ "ตัวนับ" ล่าสุดของ Key (Project+Org+Type+Year)
* **การทำงาน (Backend):**
* DocumentNumberingModule จะให้บริการ DocumentNumberingService
* เมื่อ CorrespondenceModule ต้องการสร้างเอกสารใหม่, มันจะเรียก documentNumberingService.generateNextNumber(...)
* Service นี้จะเรียกใช้ Stored Procedure **sp_get_next_document_number** [cite: 2.9.3] ซึ่ง Procedure นี้จะจัดการ Database Transaction และ Row Lock (FOR UPDATE) ภายใน DB เพื่อรับประกันการป้องกัน Race Condition
## **📊 การรายงานและการส่งออก (Reporting & Exports)**
### **วิวสำหรับการรายงาน (Reporting Views) (จาก SQL)**
การรายงานควรสร้างขึ้นจาก Views ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในฐานข้อมูลเป็นหลัก:
* v_current_correspondences: สำหรับ revision ปัจจุบันทั้งหมดของเอกสารที่ไม่ใช่ RFA
* v_current_rfas: สำหรับ revision ปัจจุบันทั้งหมดของ RFA และข้อมูล master
* v_contract_parties_all: สำหรับการตรวจสอบความสัมพันธ์ของ project/contract/organization
* v_user_tasks: สำหรับ Dashboard "งานของฉัน"
* v_audit_log_details: สำหรับ Activity Feed
Views เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลหลักสำหรับการรายงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์และการส่งออกข้อมูล
### **กฎการส่งออก (Export Rules)**
* Export formats: CSV, Excel, PDF.
* จัดเตรียมมุมมองสำหรับพิมพ์ (Print view).
* รวมลิงก์ไปยังต้นทาง (เช่น /rfas/:id).
## **🧮 ฟรอนต์เอนด์: รูปแบบ DataTable และฟอร์ม (Frontend: DataTable & Form Patterns)**
### **DataTable (ServerSide)**
* Endpoint: /api/{module}?page=1\&pageSize=20\&sort=...\&filter=...
* ต้องรองรับ: การแบ่งหน้า (pagination), การเรียงลำดับ (sorting), การค้นหา (search), การกรอง (filters)
* แสดง revision ล่าสุดแบบ inline เสมอ (สำหรับ RFA/Drawing)
### **มาตรฐานฟอร์ม (Form Standards)**
* ต้องมีการใช้งาน Dropdowns แบบขึ้นต่อกัน (Dependent dropdowns) (ตามที่สคีมารองรับ):
* Project → Contract Drawing Volumes
* Contract Drawing Category → Sub-Category
* RFA (ประเภท Shop Drawing) → Shop Drawing Revisions ที่เชื่อมโยงได้
* **(ใหม่)** การอัปโหลดไฟล์: ต้องรองรับ **Multi-file upload (Drag-and-Drop)** [cite: 5.7]
* **(ใหม่)** UI ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดว่าไฟล์ใดเป็น **"เอกสารหลัก"** หรือ "เอกสารแนบประกอบ" [cite: 5.7]
* ส่ง (Submit) ผ่าน API พร้อม feedback แบบ toast
### **ข้อกำหนด Component เฉพาะ (Specific UI Requirements)**
* **Dashboard \- My Tasks:** ต้องพัฒนา Component ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks)ซึ่งดึงข้อมูลงานที่ผู้ใช้ล็อกอินอยู่ต้องรับผิดชอบ (Main/Action) จาก v\user\tasks [cite: 5.3]
* **Workflow Visualization:** ต้องพัฒนา Component สำหรับแสดงผล Workflow (โดยเฉพาะ RFA)ที่แสดงขั้นตอนทั้งหมดเป็นลำดับ โดยขั้นตอนปัจจุบัน (active) เท่านั้นที่ดำเนินการได้ และขั้นตอนอื่นเป็น disabled [cite: 5.6] ต้องมีตรรกะสำหรับ Admin ในการ override หรือย้อนกลับขั้นตอนได้ [cite: 5.6]
* ** Admin Panel:** ต้องมีหน้า UI สำหรับ Superadmin/Admin เพื่อจัดการข้อมูลหลัก (Master Data [cite: 4.5]), การเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding [cite: 4.6]), และ **รูปแบบเลขที่เอกสาร (Numbering Formats [cite: 3.10])**
## **🧭 แดชบอร์ดและฟีดกิจกรรม (Dashboard & Activity Feed)**
### **การ์ดบนแดชบอร์ด (Dashboard Cards)**
* แสดง Correspondences, RFAs, Circulations, Shop Drawing Revision ล่าสุด
* รวมสรุป KPI (เช่น "RFAs ที่รอการอนุมัติ", "Shop Drawing ที่รอการอนุมัติ") [cite: 5.3]
* รวมลิงก์ด่วนไปยังโมดูลต่างๆ
### **ฟีดกิจกรรม (Activity Feed)**
* แสดงรายการ v\audit\log\details ล่าสุด (10 รายการ) ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
// ตัวอย่าง API response
[
{ user: 'editor01', action: 'Updated RFA (LCBP3-RFA-001)', time: '2025-11-04T09:30Z' }
]
## **🛡️ ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
ส่วนนี้สรุปข้อกำหนด Non-Functional จาก requirements.md เพื่อให้ทีมพัฒนาทราบ
* **Audit Log [cite: 6.1]:** ทุกการกระทำที่สำคัญ (C/U/D) ต้องถูกบันทึกใน audit_logs
* **Performance [cite: 6.4]:** ต้องใช้ Caching สำหรับข้อมูลที่เรียกบ่อย และใช้ Pagination
* **Security [cite: 6.5]:** ต้องมี Rate Limiting และจัดการ Secret ผ่าน docker-compose.yml (ไม่ใช่ .env)
* **(ใหม่) Backup & Recovery [cite: 6.6]:** ต้องมีแผนสำรองข้อมูลทั้ง Database (MariaDB) และ File Storage (/share/dms-data) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
* **(ใหม่) Notification Strategy [cite: 6.7]:** ระบบแจ้งเตือน (Email/Line) ต้องถูก Trigger เมื่อมีเอกสารใหม่ส่งถึง, มีการมอบหมายงานใหม่ (Circulation), หรือ (ทางเลือก) เมื่องานเสร็จ/ใกล้ถึงกำหนด
## **✅ มาตรฐานที่นำไปใช้แล้ว (จาก SQL v1.1.0) (Implemented Standards (from SQL v1.1.0))**
ส่วนนี้ยืนยันว่าแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบฐานข้อมูลอยู่แล้ว และควรถูกนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ใช่สร้างขึ้นใหม่
* ✅ **Soft Delete:** นำไปใช้แล้วผ่านคอลัมน์ deleted_at ในตารางสำคัญ (เช่น correspondences, rfas, project_parties) ตรรกะการดึงข้อมูลต้องกรอง deleted_at IS NULL
* ✅ **Database Indexes:** สคีมาได้มีการทำ index ไว้อย่างหนักหน่วงบน foreign keys และคอลัมน์ที่ใช้ค้นหาบ่อย (เช่น idx_rr_rfa, idx_cor_project, idx_cr_is_current) เพื่อประสิทธิภาพ
* ✅ **โครงสร้าง RBAC:** มีระบบ users, roles, permissions, user_roles, และ user_project_roles ที่ครอบคลุมอยู่แล้ว
* ✅ **Data Seeding:** ข้อมูล Master (roles, permissions, organization_roles, initial users, project parties) ถูกรวมอยู่ในสคริปต์สคีมาแล้ว
## **🧩 การปรับปรุงที่แนะนำ (สำหรับอนาคต) (Recommended Enhancements (Future))**
* ✅ สร้าง Background job (โดยใช้ **n8n** เพื่อเชื่อมต่อกับ **Line** [cite: 2.7] และ/หรือใช้สำหรับการแจ้งเตือน RFA ที่ใกล้ถึงกำหนด due_date [cite: 6.7])
* ✅ เพิ่ม job ล้างข้อมูลเป็นระยะสำหรับ attachments ที่ไม่ถูกเชื่อมโยงกับ Entity ใดๆ เลย (ไฟล์กำพร้า)
# **Documents Management Sytem Version 1.4.0: แนวทางการพัฒนา FullStackJS**
## **🧠 ปรัชญาทั่วไป**
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดแบบครบวงจรสำหรับการพัฒนา NestJS Backend, NextJS Frontend และ Tailwind-based UI/UX ในสภาพแวดล้อม TypeScript มุ่งเน้นที่ ความชัดเจน (clarity), ความง่ายในการบำรุงรักษา (maintainability), ความสอดคล้องกัน (consistency) และ การเข้าถึงได้ (accessibility) ตลอดทั้งสแต็ก
## **⚙️ แนวทางทั่วไปสำหรับ TypeScript**
### **หลักการพื้นฐาน**
* ใช้ **ภาษาอังกฤษ** สำหรับโค้ด
* ใช้ **ภาษาไทย** สำหรับ comment และเอกสารทั้งหมด
* กำหนดไทป์ (type) อย่างชัดเจนสำหรับตัวแปร, พารามิเตอร์ และค่าที่ส่งกลับ (return values) ทั้งหมด
* หลีกเลี่ยงการใช้ any; ให้สร้างไทป์ (types) หรืออินเทอร์เฟซ (interfaces) ที่กำหนดเอง
* ใช้ **JSDoc** สำหรับคลาส (classes) และเมธอด (methods) ที่เป็น public
* ส่งออก (Export) **สัญลักษณ์หลัก (main symbol) เพียงหนึ่งเดียว** ต่อไฟล์
* หลีกเลี่ยงบรรทัดว่างภายในฟังก์ชัน
* ระบุ // File: path/filename ในบรรทัดแรกของทุกไฟล์
* ระบุ // บันทึกการแก้ไข, หากมีการแก้ไขเพิ่มในอนาคต ให้เพิ่มบันทึก
### **ข้อตกลงในการตั้งชื่อ (Naming Conventions)**
| Entity (สิ่งที่ตั้งชื่อ) | Convention (รูปแบบ) | Example (ตัวอย่าง) |
| :---- | :---- | :---- |
| Classes | PascalCase | UserService |
| Property | snake_sase | user_id |
| Variables & Functions | camelCase | getUserInfo |
| Files & Folders | kebab-case | user-service.ts |
| Environment Variables | UPPERCASE | DATABASE\URL |
| Booleans | Verb \+ Noun | isActive, canDelete, hasPermission |
ใช้คำเต็ม — ไม่ใช้อักษรย่อ — ยกเว้นคำมาตรฐาน (เช่น API, URL, req, res, err, ctx)
## **🧩 ฟังก์ชัน (Functions)**
* เขียนฟังก์ชันให้สั้น และทำ **หน้าที่เพียงอย่างเดียว** (single-purpose) (\< 20 บรรทัด)
* ใช้ **early returns** เพื่อลดการซ้อน (nesting) ของโค้ด
* ใช้ **map**, **filter**, **reduce** แทนการใช้ loops เมื่อเหมาะสม
* ควรใช้ **arrow functions** สำหรับตรรกะสั้นๆ, และใช้ **named functions** ในกรณีอื่น
* ใช้ **default parameters** แทนการตรวจสอบค่า null
* จัดกลุ่มพารามิเตอร์หลายตัวให้เป็นอ็อบเจกต์เดียว (RO-RO pattern)
* ส่งค่ากลับ (Return) เป็นอ็อบเจกต์ที่มีไทป์กำหนด (typed objects) ไม่ใช่ค่าพื้นฐาน (primitives)
* รักษาระดับของสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstraction level) ให้เป็นระดับเดียวในแต่ละฟังก์ชัน
## **🧱 การจัดการข้อมูล (Data Handling)**
* ห่อหุ้มข้อมูล (Encapsulate) ในไทป์แบบผสม (composite types)
* ใช้ **immutability** (การไม่เปลี่ยนแปลงค่า) ด้วย readonly และ as const
* ทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Validations) ในคลาสหรือ DTOs ไม่ใช่ภายในฟังก์ชันทางธุรกิจ
* ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดยใช้ DTOs ที่มีไทป์กำหนดเสมอ
## **🧰 คลาส (Classes)**
* ปฏิบัติตามหลักการ **SOLID**
* ควรใช้ **composition มากกว่า inheritance** (Prefer composition over inheritance)
* กำหนด **interfaces** สำหรับสัญญา (contracts)
* ให้คลาสมุ่งเน้นการทำงานเฉพาะอย่างและมีขนาดเล็ก (\< 200 บรรทัด, \< 10 เมธอด, \< 10 properties)
## **🚨 การจัดการข้อผิดพลาด (Error Handling)**
* ใช้ Exceptions สำหรับข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิด
* ดักจับ (Catch) ข้อผิดพลาดเพื่อแก้ไขหรือเพิ่มบริบท (context) เท่านั้น; หากไม่เช่นนั้น ให้ใช้ global error handlers
* ระบุข้อความข้อผิดพลาด (error messages) ที่มีความหมายเสมอ
## **🧪 การทดสอบ (ทั่วไป) (Testing (General))**
* ใช้รูปแบบ **ArrangeActAssert**
* ใช้ชื่อตัวแปรในการทดสอบที่สื่อความหมาย (inputData, expectedOutput)
* เขียน **unit tests** สำหรับ public methods ทั้งหมด
* จำลอง (Mock) การพึ่งพาภายนอก (external dependencies)
* เพิ่ม **acceptance tests** ต่อโมดูลโดยใช้รูปแบบ GivenWhen-Then
## **🏗️ แบ็กเอนด์ (NestJS) (Backend (NestJS))**
### **หลักการ**
* **สถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ (Modular architecture)**:
* หนึ่งโมดูลต่อหนึ่งโดเมน
* โครงสร้างแบบ Controller → Service → Repository (Model)
* API-First: มุ่งเน้นการสร้าง API ที่มีคุณภาพสูง มีเอกสารประกอบ (Swagger) ที่ชัดเจนสำหรับ Frontend Team
* DTOs ที่ตรวจสอบความถูกต้องด้วย **class-validator**
* ใช้ **MikroORM** (หรือ TypeORM/Prisma) สำหรับการคงอยู่ของข้อมูล (persistence) ซึ่งสอดคล้องกับสคีมา MariaDB
* ห่อหุ้มโค้ดที่ใช้ซ้ำได้ไว้ใน **common module** (@app/common):
* Configs, decorators, DTOs, guards, interceptors, notifications, shared services, types, validators
### **ฟังก์ชันหลัก (Core Functionalities)**
* Global **filters** สำหรับการจัดการ exception
* **Middlewares** สำหรับการจัดการ request
* **Guards** สำหรับการอนุญาต (permissions) และ RBAC
* **Interceptors** สำหรับการแปลงข้อมูล response และการบันทึก log
### **ข้อจำกัดในการ Deploy (QNAP Container Station)**
* **ห้ามใช้ไฟล์ .env** ในการตั้งค่า Environment Variables [cite: 2.1]
* การตั้งค่าทั้งหมด (เช่น Database connection string, JWT secret) **จะต้องถูกกำหนดผ่าน Environment Variable ใน docker-compose.yml โดยตรง** [cite: 6.5] ซึ่งจะจัดการผ่าน UI ของ QNAP Container Station [cite: 2.1]
### **โครงสร้างโมดูลตามโดเมน (Domain-Driven Module Structure)**
เพื่อให้สอดคล้องกับสคีมา SQL (LCBP3-DMS) เราจะใช้โครงสร้างโมดูลแบบ **Domain-Driven (แบ่งตามขอบเขตธุรกิจ)** แทนการแบ่งตามฟังก์ชัน:
1. **CommonModule:**
* เก็บ Services ที่ใช้ร่วมกัน เช่น DatabaseModule, FileStorageService (จัดการไฟล์ใน QNAP), AuditLogService, NotificationService
* จัดการ audit_logs
* NotificationService ต้องรองรับ Triggers ที่ระบุใน Requirement 6.7 [cite: 6.7]
2. **AuthModule:**
* จัดการะการยืนยันตัวตน (JWT, Guards)
* **(สำคัญ)** ต้องรับผิดชอบการตรวจสอบสิทธิ์ **4 ระดับ** [cite: 4.2]: สิทธิ์ระดับระบบ (Global Role), สิทธิ์ระดับองกรณ์ (Organization Role), สิทธิ์ระดับโปรเจกต์ (Project Role), และ สิทธิ์ระดับสัญญา (Contract Role)
* **(สำคัญ)** ต้องมี API สำหรับ **Admin Panel** เพื่อ:
* สร้างและจัดการ Role และการจับคู่ Permission แบบไดนามิก [cite: 4.3]
* ให้ Superadmin สร้าง Organizations และกำหนด Org Admin ได้ [cite: 4.6]
* ให้ Superadmin/Admin จัดการ document_number_formats (รูปแบบเลขที่เอกสาร), document_number_counters (Running Number) [cite: 3.10]
3. **UserModule:**
* จัดการ users, roles, permissions, global_default_roles, role_permissions, user_roles, user_project_roles
* **(สำคัญ)** ต้องมี API สำหรับ **Admin Panel** เพื่อ:
* สร้างและจัดการ Role และการจับคู่ Permission แบบไดนามิก [cite: 4.3]
4. **ProjectModule:**
* จัดการ projects, organizations, contracts, project_parties, contract_parties
5. **MasterModule:**
* จัดการ master data (correspondence_types, rfa_types, rfa_status_codes, rfa_approve_codes, circulation_status_codes, correspondence_types, correspondence_status, tags) [cite: 4.5]
6. **CorrespondenceModule (โมดูลศูนย์กลาง):**
* จัดการ correspondences, correspondence_revisions, correspondence_tags
* **(สำคัญ)** Service นี้ต้อง Inject DocumentNumberingService เพื่อขอเลขที่เอกสารใหม่ก่อนการสร้าง
* **(สำคัญ)** ตรรกะการสร้าง/อัปเดต Revision จะอยู่ใน Service นี้
* จัดการ correspondence_attachments (ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
* รับผิดชอบ Routing **Correspondence Routing** (correspondence_routings, correspondence_routing_template_steps, correspondence_routing_templates, correspondence_status_transitions) สำหรับการส่งต่อเอกสารทั่วไประหว่างองค์กร
7. **RfaModule:**
* จัดการ rfas, rfa_revisions, rfa_items
* รับผิดชอบเวิร์กโฟลว์ **"RFA Workflows"** (rfa_workflows, rfa_workflow_templates, rfa_workflow_template_steps, rfa_status_transitions) สำหรับการอนุมัติเอกสารทางเทคนิค
8. **DrawingModule:**
* จัดการ shop_drawings, shop_drawing_revisions, contract_drawings, contract_drawing_volumes, contract_drawing_cats, contract_drawing_sub_cats, shop_drawing_main_categories, shop_drawing_sub_categories, contract_drawing_subcat_cat_maps, shop_drawing_revision_contract_refs
* จัดการ shop_drawing_revision_attachments และ contract_drawing_attachments(ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
9. **CirculationModule:**
* จัดการ circulations, circulation_templates, circulation_assignees
* จัดการ circulation_attachments (ตารางเชื่อมไฟล์แนบ)
* รับผิดชอบเวิร์กโฟลว์ **"Circulations"** (circulation_status_transitions, circulation_template_assignees, circulation_assignees, circulation_recipients, circulation_actions, circulation_action_documents)สำหรับการเวียนเอกสาร **ภายในองค์กร**
10. **TransmittalModule:**
* จัดการ transmittals และ transmittal_items
11. **SearchModule:**
* ให้บริการค้นหาขั้นสูง (Advanced Search) [cite: 6.2] โดยใช้ **Elasticsearch** เพื่อรองรับการค้นหาแบบ Full-text จากชื่อเรื่อง, รายละเอียด, เลขที่เอกสาร, ประเภท, วันที่, และ Tags
* ระบบจะใช้ Elasticsearch Engine ในการจัดทำดัชนีเพื่อการค้นหาข้อมูลเชิงลึกจากเนื้อหาของเอกสาร โดยข้อมูลจะถูกส่งไปทำดัชนีจาก Backend (NestJS) ทุกครั้งที่มีการสร้างหรือแก้ไขเอกสาร
12. **DocumentNumberingModule:**
* **สถานะ:** เป็น Module ภายใน (Internal Module) ไม่เปิด API สู่ภายนอก
* **หน้าที่:** ให้บริการ DocumentNumberingService ที่ Module อื่น (เช่น CorrespondenceModule) จะ Inject ไปใช้งาน
* **ตรรกะ:** รับผิดชอบการสร้างเลขที่เอกสาร โดยการเรียกใช้ Stored Procedure *sp_get_next_document_number** เพื่อป้องกัน Race Condition
### **สถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture)**
โครงสร้างโมดูล (Module Structure)
```bash
📁 src
├── 📄 app.module.ts
├── 📄 main.ts
├── 📁 common # @app/common (โมดูลส่วนกลาง)
│ ├── 📁 auth # AuthModule (JWT, Guards)
│ ├── 📁 config # Configuration
│ ├── 📁 decorators # Custom Decorators (เช่น @RequirePermission)
│ ├── 📁 entities # Shared Entities (User, Role, Permission)
│ ├── 📁 exceptions # Global Exception Filters
│ ├── 📁 file-storage # FileStorageService
│ ├── 📁 guards # Custom Guards (RBAC Guard)
│ ├── 📁 interceptors # Interceptors (Audit Log, Transform)
│ └── 📁 services # Shared Services (NotificationService)
├── 📁 modules
│ ├── 📁 user # UserModule (จัดการ Users, Roles, Permissions)
│ ├── 📁 project # ProjectModule (จัดการ Projects, Organizations, Contracts)
│ ├── 📁 correspondence # CorrespondenceModule (จัดการเอกสารโต้ตอบ)
│ ├── 📁 rfa # RfaModule (จัดการเอกสารขออนุมัติ)
│ ├── 📁 drawing # DrawingModule (จัดการแบบแปลน)
│ ├── 📁 circulation # CirculationModule (จัดการใบเวียน)
│ ├── 📁 transmittal # TransmittalModule (จัดการเอกสารนำส่ง)
│ ├── 📁 search # SearchModule (ค้นหาขั้นสูงด้วย Elasticsearch)
│ └── 📁 document-numbering # DocumentNumberingModule (Internal Module)
└── 📁 database # Database Migration & Seeding Scripts
```
### **เเทคโนโลยีที่ใช้ (Technology Stack)**
| ส่วน | Library/Tool | หมายเหตุ |
|---|---|---|
| **Framework** | `@nestjs/core`, `@nestjs/common` | Core Framework |
| **Language** | `TypeScript` | ใช้ TypeScript ทั้งระบบ |
| **Database** | `MariaDB 10.11` | ฐานข้อมูลหลัก |
| **ORM** | `@nestjs/typeorm`, `typeorm` | 🗃️จัดการการเชื่อมต่อและ Query ฐานข้อมูล |
| **Validation** | `class-validator`, `class-transformer` | 📦ตรวจสอบและแปลงข้อมูลใน DTO |
| **Auth** | `@nestjs/jwt`, `@nestjs/passport`, `passport-jwt` | 🔐การยืนยันตัวตนด้วย JWT |
|**Authorization** | `casl` | 🔐จัดการสิทธิ์แบบ RBAC |
| **File Upload** | `multer` | 📁จัดการการอัปโหลดไฟล์ |
| **Search** | `@nestjs/elasticsearch` | 🔍สำหรับการค้นหาขั้นสูง |
| **Notification** | `nodemailer` | 📬ส่งอีเมลแจ้งเตือน |
| **Scheduling** | `@nestjs/schedule` | 📬สำหรับ Cron Jobs (เช่น แจ้งเตือน Deadline) |
| **Logging** | `winston` | 📊บันทึก Log ที่มีประสิทธิภาพ |
| **Testing** | `@nestjs/testing`, `jest`, `supertest` | 🧪ทดสอบ Unit, Integration และ E2E |
| **Documentation** | `@nestjs/swagger` | 🌐สร้าง API Documentation อัตโนมัติ |
| **Security** | `helmet`, `rate-limiter-flexible` | 🛡️เพิ่มความปลอดภัยให้ API |
เราจะแบ่งการทดสอบเป็น 3 ระดับ โดยใช้ **Jest** และ @nestjs/testing:
* **Unit Tests (การทดสอบหน่วยย่อย):**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ Logic ภายใน Service, Guard, หรือ Pipe โดยจำลอง (Mock) Dependencies ทั้งหมด
* **สิ่งที่ต้องทดสอบ:** Business Logic (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow, การตรวจสอบ Deadline) [cite: 2.9.1], ตรรกะการตรวจสอบสิทธิ์ (Auth Guard) ทั้ง 4 ระดับ
* **Integration Tests (การทดสอบการบูรณาการ):**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบการทำงานร่วมกันของ Controller -> Service -> Repository (Database)
* **เทคนิค:** ใช้ **Test Database แยกต่างหาก** (ห้ามใช้ Dev DB) และใช้ supertest เพื่อยิง HTTP Request จริงไปยัง App
* **สิ่งที่ต้องทดสอบ:** การเรียก sp\get\next\document\number [cite: 2.9.3] และการทำงานของ Views (เช่น v_user_tasks)
* **E2E (End-to-End) Tests:**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ API Contract ว่า Response Body Shape ตรงตามเอกสาร Swagger เพื่อรับประกันทีม Frontend
### **🗄️ Backend State Management**
Backend (NestJS) ควรเป็น **Stateless** (ไม่เก็บสถานะ) "State" ทั้งหมดจะถูกจัดเก็บใน MariaDB
* **Request-Scoped State (สถานะภายใน Request เดียว):**
* **ปัญหา:** จะส่งต่อข้อมูล (เช่น User ที่ล็อกอิน) ระหว่าง Guard และ Service ใน Request เดียวกันได้อย่างไร?
* **วิธีแก้:** ใช้ **Request-Scoped Providers** ของ NestJS (เช่น AuthContextService) เพื่อเก็บข้อมูล User ปัจจุบันที่ได้จาก AuthGuard และให้ Service อื่น Inject ไปใช้
* **Application-Scoped State (การ Caching):**
* **ปัญหา:** ข้อมูล Master (เช่น roles, permissions, organizations) ถูกเรียกใช้บ่อย
* **วิธีแก้:** ใช้ **Caching** (เช่น @nestjs/cache-manager) เพื่อ Caching ข้อมูลเหล่านี้ และลดภาระ Database
### **การไหลของข้อมูล (Data Flow)**
1. Request: ผ่าน Nginx Proxy Manager -> NestJS Controller
2. Authentication: JWT Guard ตรวจสอบ Token และดึงข้อมูล User
3. Authorization: RBAC Guard (ใช้ CASL) ตรวจสอบสิทธิ์จาก Decorators (@RequirePermission)
4. Validation: Validation Pipe (ใช้ class-validator) ตรวจสอบ DTO
5. Business Logic: Service Layer ประมวลผลตรรกะทางธุรกิจ
6. Data Access: Repository Layer (ใช้ TypeORM) ติดต่อกับฐานข้อมูล MariaDB
7. Response: ส่งกลับไปยัง Frontend พร้อมสถานะและข้อมูลที่เหมาะสม
# **🖥️ ฟรอนต์เอนด์ (NextJS / React / UI) (Frontend (NextJS / React / UI))**
### **โปรไฟล์นักพัฒนา (Developer Profile)**
วิศวกร TypeScript + React/NextJS ระดับ Senior
เชี่ยวชาญ TailwindCSS, Shadcn/UI, และ Radix สำหรับการพัฒนา UI
### **แนวทางการพัฒนาโค้ด (Code Implementation Guidelines)**
* ใช้ **early returns** เพื่อความชัดเจน
* ใช้คลาสของ **TailwindCSS** ในการกำหนดสไตล์เสมอ
* ควรใช้ class: syntax แบบมีเงื่อนไข (หรือ utility clsx) มากกว่าการใช้ ternary operators ใน class strings
* ใช้ **const arrow functions** สำหรับ components และ handlers
* Event handlers ให้ขึ้นต้นด้วย handle... (เช่น handleClick, handleSubmit)
* รวมแอตทริบิวต์สำหรับการเข้าถึง (accessibility) ด้วย:
tabIndex="0", aria-label, onKeyDown, ฯลฯ
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโค้ดทั้งหมด **สมบูรณ์**, **ผ่านการทดสอบ**, และ **ไม่ซ้ำซ้อน (DRY)**
* ต้อง import โมดูลที่จำเป็นต้องใช้อย่างชัดเจนเสมอ
### **UI/UX ด้วย React**
* ใช้ **semantic HTML**
* ใช้คลาสของ **Tailwind** ที่รองรับ responsive (sm:, md:, lg:)
* รักษาลำดับชั้นของการมองเห็น (visual hierarchy) ด้วยการใช้ typography และ spacing
* ใช้ **Shadcn** components (Button, Input, Card, ฯลฯ) เพื่อ UI ที่สอดคล้องกัน
* ทำให้ components มีขนาดเล็กและมุ่งเน้นการทำงานเฉพาะอย่าง
* ใช้ utility classes สำหรับการจัดสไตล์อย่างรวดเร็ว (spacing, colors, text, ฯลฯ)
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับ **ARIA** และใช้ semantic markup
### **การตรวจสอบฟอร์มและข้อผิดพลาด (Form Validation & Errors)**
* ใช้ไลบรารีฝั่ง client เช่น zod และ react-hook-form
* แสดงข้อผิดพลาดด้วย **alert components** หรือข้อความ inline
* ต้องมี labels, placeholders, และข้อความ feedback
### **🧪 Frontend Testing**
เราจะใช้ **React Testing Library (RTL)** สำหรับการทดสอบ Component และ **Playwright** สำหรับ E2E:
* **Unit Tests (การทดสอบหน่วยย่อย):**
* **เครื่องมือ:** Vitest + RTL
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ Component ขนาดเล็ก (เช่น Buttons, Inputs) หรือ Utility functions
* **Integration Tests (การทดสอบการบูรณาการ):**
* **เครื่องมือ:** RTL + **Mock Service Worker (MSW)**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบว่า Component หรือ Page ทำงานกับ API (ที่จำลองขึ้น) ได้ถูกต้อง
* **เทคนิค:** ใช้ MSW เพื่อจำลอง NestJS API และทดสอบว่า Component แสดงผลข้อมูลจำลองได้ถูกต้องหรือไม่ (เช่น ทดสอบหน้า Dashboard [cite: 5.3] ที่ดึงข้อมูลจาก v_user_tasks)
* **E2E (End-to-End) Tests:**
* **เครื่องมือ:** **Playwright**
* **เป้าหมาย:** ทดสอบ User Flow ทั้งระบบโดยอัตโนมัติ (เช่น ล็อกอิน -> สร้าง RFA -> ตรวจสอบ Workflow Visualization [cite: 5.6])
### **🗄️ Frontend State Management**
สำหรับ Next.js App Router เราจะแบ่ง State เป็น 4 ระดับ:
1. **Local UI State (สถานะ UI ชั่วคราว):**
* **เครื่องมือ:** useState, useReducer
* **ใช้เมื่อ:** จัดการสถานะเล็กๆ ที่จบใน Component เดียว (เช่น Modal เปิด/ปิด, ค่าใน Input)
2. **Server State (สถานะข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์):**
* **เครื่องมือ:** **React Query (TanStack Query)** หรือ SWR
* **ใช้เมื่อ:** จัดการข้อมูลที่ดึงมาจาก NestJS API (เช่น รายการ correspondences, rfas, drawings)
* **ทำไม:** React Query เป็น "Cache" ที่จัดการ Caching, Re-fetching, และ Invalidation ให้โดยอัตโนมัติ
3. **Global Client State (สถานะส่วนกลางฝั่ง Client):**
* **เครื่องมือ:** **Zustand** (แนะนำ) หรือ Context API
* **ใช้เมื่อ:** จัดการข้อมูลที่ต้องใช้ร่วมกันทั่วทั้งแอป และ *ไม่ใช่* ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ (เช่น ข้อมูล User ที่ล็อกอิน, สิทธิ์ Permissions)
4. **Form State (สถานะของฟอร์ม):**
* **เครื่องมือ:** **React Hook Form** + **Zod**
* **ใช้เมื่อ:** จัดการฟอร์มที่ซับซ้อน (เช่น ฟอร์มสร้าง RFA, ฟอร์ม Circulation [cite: 3.7])
# **🔗 แนวทางการบูรณาการ Full Stack (Full Stack Integration Guidelines)**
| Aspect (แง่มุม) | Backend (NestJS) | Frontend (NextJS) | UI Layer (Tailwind/Shadcn) |
| :---- | :---- | :---- | :---- |
| API | REST / GraphQL Controllers | API hooks ผ่าน fetch/axios/SWR | Components ที่รับข้อมูล |
| Validation (การตรวจสอบ) | class-validator DTOs | zod / react-hook-form | สถานะของฟอร์ม/input ใน Shadcn |
| Auth (การยืนยันตัวตน) | Guards, JWT | NextAuth / cookies | สถานะ UI ของ Auth (loading, signed in) |
| Errors (ข้อผิดพลาด) | Global filters | Toasts / modals | Alerts / ข้อความ feedback |
| Testing (การทดสอบ) | Jest (unit/e2e) | Vitest / Playwright | Visual regression |
| Styles (สไตล์) | Scoped modules (ถ้าจำเป็น) | Tailwind / Shadcn | Tailwind utilities |
| Accessibility (การเข้าถึง) | Guards + filters | ARIA attributes | Semantic HTML |
## **🗂️ ข้อตกลงเฉพาะสำหรับ DMS (LCBP3-DMS)**
ส่วนนี้ขยายแนวทาง FullStackJS ทั่วไปสำหรับโปรเจกต์ **LCBP3-DMS** โดยมุ่งเน้นไปที่เวิร์กโฟลว์การอนุมัติเอกสาร (Correspondence, RFA, Drawing, Contract, Transmittal, Circulation)
### **🧩 RBAC และการควบคุมสิทธิ์ (RBAC & Permission Control)**
ใช้ Decorators เพื่อบังคับใช้สิทธิ์การเข้าถึง โดยอ้างอิงสิทธิ์จากตาราง permissions
@RequirePermission('rfas.respond') // ต้องตรงกับ 'permission\code'
@Put(':id')
updateRFA(@Param('id') id: string) {
return this.rfaService.update(id);
}
### **Roles (บทบาท)**
* **Superadmin**: ไม่มีข้อจำกัดใดๆ [cite: 4.3]
* **Admin**: มีสิทธิ์เต็มที่ในองค์กร [cite: 4.3]
* **Document Control**: เพิ่ม/แก้ไข/ลบ เอกสารในองค์กร [cite: 4.3]
* **Editor**: สามารถ เพิ่ม/แก้ไข เอกสารที่กำหนด [cite: 4.3]
* **Viewer**: สามารถดู เอกสาร [cite: 4.3]
### **ตัวอย่าง Permissions (จากตาราง permissions)**
* rfas.view, rfas.create, rfas.respond, rfas.delete
* drawings.view, drawings.upload, drawings.delete
* corr.view, corr.manage
* transmittals.manage
* cirs.manage
* project\parties.manage
การจับคู่ระหว่าง roles และ permissions **เริ่มต้น** จะถูก seed ผ่านสคริปต์ (ดังที่เห็นในไฟล์ SQL)**อย่างไรก็ตาม AuthModule/UserModule ต้องมี API สำหรับ Admin เพื่อสร้าง Role ใหม่และกำหนดสิทธิ์ (Permissions) เพิ่มเติมได้ในภายหลัง** [cite: 4.3]
## **🧾 มาตรฐาน AuditLog (AuditLog Standard)**
บันทึกการดำเนินการ CRUD และการจับคู่ทั้งหมดลงในตาราง audit_logs
| Field (ฟิลด์) | Type (จาก SQL) | Description (คำอธิบาย) |
| :---- | :---- | :---- |
| audit_id | BIGINT | Primary Key |
| user_id | INT | ผู้ใช้ที่ดำเนินการ (FK -> users) |
| action | VARCHAR(100) | rfa.create, correspondence.update, login.success |
| entity_type | VARCHAR(50) | ชื่อตาราง/โมดูล เช่น 'rfa', 'correspondence' |
| entity_id | VARCHAR(50) | Primary ID ของระเบียนที่ได้รับผลกระทบ |
| details_json | JSON | ข้อมูลบริบท (เช่น ฟิลด์ที่มีการเปลี่ยนแปลง) |
| ip_address | VARCHAR(45) | IP address ของผู้ดำเนินการ |
| user_agent | VARCHAR(255) | User Agent ของผู้ดำเนินการ |
| created_at | TIMESTAMP | Timestamp (UTC) |
## **📂 การจัดการไฟล์ (File Handling) (ปรับปรุงใหม่)**
### **มาตรฐานการอัปโหลดไฟล์ (File Upload Standard)**
* **ตรรกะใหม่:** การอัปโหลดไฟล์ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย FileStorageService และบันทึกข้อมูลไฟล์ลงในตาราง attachments (ตารางกลาง)
* ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงไปยัง Entity ที่ถูกต้องผ่าน **ตารางเชื่อม (Junction Tables)** เท่านั้น:
* correspondence_attachments (เชื่อม Correspondence กับ Attachments)
* circulation_attachments (เชื่อม Circulation กับ Attachments)
* shop_drawing_revision_attachments (เชื่อม Shop Drawing Revision กับ Attachments)
* contract_drawing_attachments (เชื่อม Contract Drawing กับ Attachments)
* เส้นทางจัดเก็บไฟล์ (Upload path): อ้างอิงจาก Requirement 2.1 คือ /share/dms-data [cite: 2.1] โดย FileStorageService จะสร้างโฟลเดอร์ย่อยแบบรวมศูนย์ (เช่น /share/dms-data/uploads/{YYYY}/{MM}/[stored\filename])
* ประเภทไฟล์ที่อนุญาต: pdf, dwg, docx, xlsx, zip
* ขนาดสูงสุด: **50 MB**
* จัดเก็บนอก webroot
* ให้บริการไฟล์ผ่าน endpoint ที่ปลอดภัย /files/:attachment_id/download
### **การควบคุมการเข้าถึง (Access Control)**
การเข้าถึงไฟล์ไม่ใช่การเข้าถึงโดยตรง endpoint /files/:attachment_id/download จะต้อง:
1. ค้นหาระเบียน attachment
2. ตรวจสอบว่า attachment_id นี้ เชื่อมโยงกับ Entity ใด (เช่น correspondence, circulation, shop_drawing_revision, contract_drawing) ผ่านตารางเชื่อม
3. ตรวจสอบว่าผู้ใช้มีสิทธิ์ (permission) ในการดู Entity ต้นทางนั้นๆ หรือไม่
## **🔟 การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering) [cite: 3.10]**
* **เป้าหมาย:** สร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence\number) โดยอัตโนมัติ ตามรูปแบบที่กำหนด
* **ตรรกะการนับ:** การนับ Running number (SEQ) จะนับแยกตาม Key: **Project + Originator Organization + Document Type + Year**
* **ตาราง SQL:**
* document_number_formats: Admin ใช้กำหนด "รูปแบบ" (Template) ของเลขที่ (เช่น {ORG\CODE}-{TYPE\CODE}-{YEAR\SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดตาม **Project** และ **Document Type** [cite: 4.5]
* document_number_counters: ระบบใช้เก็บ "ตัวนับ" ล่าสุดของ Key (Project+Org+Type+Year)
* **การทำงาน (Backend):**
* DocumentNumberingModule จะให้บริการ DocumentNumberingService
* เมื่อ CorrespondenceModule ต้องการสร้างเอกสารใหม่, มันจะเรียก documentNumberingService.generateNextNumber(...)
* Service นี้จะเรียกใช้ Stored Procedure **sp_get_next_document_number** [cite: 2.9.3] ซึ่ง Procedure นี้จะจัดการ Database Transaction และ Row Lock (FOR UPDATE) ภายใน DB เพื่อรับประกันการป้องกัน Race Condition
## **📊 การรายงานและการส่งออก (Reporting & Exports)**
### **วิวสำหรับการรายงาน (Reporting Views) (จาก SQL)**
การรายงานควรสร้างขึ้นจาก Views ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในฐานข้อมูลเป็นหลัก:
* v_current_correspondences: สำหรับ revision ปัจจุบันทั้งหมดของเอกสารที่ไม่ใช่ RFA
* v_current_rfas: สำหรับ revision ปัจจุบันทั้งหมดของ RFA และข้อมูล master
* v_contract_parties_all: สำหรับการตรวจสอบความสัมพันธ์ของ project/contract/organization
* v_user_tasks: สำหรับ Dashboard "งานของฉัน"
* v_audit_log_details: สำหรับ Activity Feed
Views เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลหลักสำหรับการรายงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์และการส่งออกข้อมูล
### **กฎการส่งออก (Export Rules)**
* Export formats: CSV, Excel, PDF.
* จัดเตรียมมุมมองสำหรับพิมพ์ (Print view).
* รวมลิงก์ไปยังต้นทาง (เช่น /rfas/:id).
## **🧮 ฟรอนต์เอนด์: รูปแบบ DataTable และฟอร์ม (Frontend: DataTable & Form Patterns)**
### **DataTable (ServerSide)**
* Endpoint: /api/{module}?page=1\&pageSize=20\&sort=...\&filter=...
* ต้องรองรับ: การแบ่งหน้า (pagination), การเรียงลำดับ (sorting), การค้นหา (search), การกรอง (filters)
* แสดง revision ล่าสุดแบบ inline เสมอ (สำหรับ RFA/Drawing)
### **มาตรฐานฟอร์ม (Form Standards)**
* ต้องมีการใช้งาน Dropdowns แบบขึ้นต่อกัน (Dependent dropdowns) (ตามที่สคีมารองรับ):
* Project → Contract Drawing Volumes
* Contract Drawing Category → Sub-Category
* RFA (ประเภท Shop Drawing) → Shop Drawing Revisions ที่เชื่อมโยงได้
* **(ใหม่)** การอัปโหลดไฟล์: ต้องรองรับ **Multi-file upload (Drag-and-Drop)** [cite: 5.7]
* **(ใหม่)** UI ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดว่าไฟล์ใดเป็น **"เอกสารหลัก"** หรือ "เอกสารแนบประกอบ" [cite: 5.7]
* ส่ง (Submit) ผ่าน API พร้อม feedback แบบ toast
### **ข้อกำหนด Component เฉพาะ (Specific UI Requirements)**
* **Dashboard \- My Tasks:** ต้องพัฒนา Component ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks)ซึ่งดึงข้อมูลงานที่ผู้ใช้ล็อกอินอยู่ต้องรับผิดชอบ (Main/Action) จาก v\user\tasks [cite: 5.3]
* **Workflow Visualization:** ต้องพัฒนา Component สำหรับแสดงผล Workflow (โดยเฉพาะ RFA)ที่แสดงขั้นตอนทั้งหมดเป็นลำดับ โดยขั้นตอนปัจจุบัน (active) เท่านั้นที่ดำเนินการได้ และขั้นตอนอื่นเป็น disabled [cite: 5.6] ต้องมีตรรกะสำหรับ Admin ในการ override หรือย้อนกลับขั้นตอนได้ [cite: 5.6]
* ** Admin Panel:** ต้องมีหน้า UI สำหรับ Superadmin/Admin เพื่อจัดการข้อมูลหลัก (Master Data [cite: 4.5]), การเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding [cite: 4.6]), และ **รูปแบบเลขที่เอกสาร (Numbering Formats [cite: 3.10])**
## **🧭 แดชบอร์ดและฟีดกิจกรรม (Dashboard & Activity Feed)**
### **การ์ดบนแดชบอร์ด (Dashboard Cards)**
* แสดง Correspondences, RFAs, Circulations, Shop Drawing Revision ล่าสุด
* รวมสรุป KPI (เช่น "RFAs ที่รอการอนุมัติ", "Shop Drawing ที่รอการอนุมัติ") [cite: 5.3]
* รวมลิงก์ด่วนไปยังโมดูลต่างๆ
### **ฟีดกิจกรรม (Activity Feed)**
* แสดงรายการ v\audit\log\details ล่าสุด (10 รายการ) ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
// ตัวอย่าง API response
[
{ user: 'editor01', action: 'Updated RFA (LCBP3-RFA-001)', time: '2025-11-04T09:30Z' }
]
## **🛡️ ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
ส่วนนี้สรุปข้อกำหนด Non-Functional จาก requirements.md เพื่อให้ทีมพัฒนาทราบ
* **Audit Log [cite: 6.1]:** ทุกการกระทำที่สำคัญ (C/U/D) ต้องถูกบันทึกใน audit_logs
* **Performance [cite: 6.4]:** ต้องใช้ Caching สำหรับข้อมูลที่เรียกบ่อย และใช้ Pagination
* **Security [cite: 6.5]:** ต้องมี Rate Limiting และจัดการ Secret ผ่าน docker-compose.yml (ไม่ใช่ .env)
* **(ใหม่) Backup & Recovery [cite: 6.6]:** ต้องมีแผนสำรองข้อมูลทั้ง Database (MariaDB) และ File Storage (/share/dms-data) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
* **(ใหม่) Notification Strategy [cite: 6.7]:** ระบบแจ้งเตือน (Email/Line) ต้องถูก Trigger เมื่อมีเอกสารใหม่ส่งถึง, มีการมอบหมายงานใหม่ (Circulation), หรือ (ทางเลือก) เมื่องานเสร็จ/ใกล้ถึงกำหนด
## **✅ มาตรฐานที่นำไปใช้แล้ว (จาก SQL v1.1.0) (Implemented Standards (from SQL v1.1.0))**
ส่วนนี้ยืนยันว่าแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบฐานข้อมูลอยู่แล้ว และควรถูกนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ใช่สร้างขึ้นใหม่
* ✅ **Soft Delete:** นำไปใช้แล้วผ่านคอลัมน์ deleted_at ในตารางสำคัญ (เช่น correspondences, rfas, project_parties) ตรรกะการดึงข้อมูลต้องกรอง deleted_at IS NULL
* ✅ **Database Indexes:** สคีมาได้มีการทำ index ไว้อย่างหนักหน่วงบน foreign keys และคอลัมน์ที่ใช้ค้นหาบ่อย (เช่น idx_rr_rfa, idx_cor_project, idx_cr_is_current) เพื่อประสิทธิภาพ
* ✅ **โครงสร้าง RBAC:** มีระบบ users, roles, permissions, user_roles, และ user_project_roles ที่ครอบคลุมอยู่แล้ว
* ✅ **Data Seeding:** ข้อมูล Master (roles, permissions, organization_roles, initial users, project parties) ถูกรวมอยู่ในสคริปต์สคีมาแล้ว
## **🧩 การปรับปรุงที่แนะนำ (สำหรับอนาคต) (Recommended Enhancements (Future))**
* ✅ สร้าง Background job (โดยใช้ **n8n** เพื่อเชื่อมต่อกับ **Line** [cite: 2.7] และ/หรือใช้สำหรับการแจ้งเตือน RFA ที่ใกล้ถึงกำหนด due_date [cite: 6.7])
* ✅ เพิ่ม job ล้างข้อมูลเป็นระยะสำหรับ attachments ที่ไม่ถูกเชื่อมโยงกับ Entity ใดๆ เลย (ไฟล์กำพร้า)

View File

@@ -1,245 +1,245 @@
# **📝 Documents Management Sytem Version 1.4.0: Application Requirements Specification**
## **📌 1. วัตถุประสงค์**
สร้างเว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับระบบบริหารจัดการเอกสารโครงการ (Document Management System)ที่สามารถจัดการและควบคุม การสื่อสารด้วยเอกสารที่ซับซ้อน อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีฟังก์ชันหลักในการอัปโหลด จัดเก็บ ค้นหา แชร์ และควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงเอกสาร
- ช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษ เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล
- เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างองกรณ์
## **🛠️ 2. สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี (System Architecture & Technology Stack)**
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Headless/API-First ที่ทันสมัย ทำงานทั้งหมดบน QNAP Server ผ่าน Container Station เพื่อความสะดวกในการจัดการและบำรุงรักษา, Domain: np-dms.work, มี fix ip, รัน docker command ใน application ของ Container Station ได้โดยตรง, ประกอบด้วย
- **2.1. Infrastructure & Environment:**
- Server: QNAP (Model: TS-473A, RAM: 32GB, CPU: AMD Ryzen V1500B)
- Containerization: Container Station (Docker & Docker Compose) ใช้ UI ของ Container Station เป็นหลัก ในการ configuration และการรัน docker command
- Development Environment: VS Code on Windows 11
- Domain: np-dms.work, www.np-dms.work
- ip: 159.192.126.103
- Docker Network: ทุก Service จะเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายกลางชื่อ lcbp3 เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้
- Data Storage: /share/dms-data บน QNAP
- ข้อจำกัด: ไม่สามารถใช้ .env ในการกำหนดตัวแปรภายนอกได้ ต้องกำหนดใน docker-compose.yml เท่านั้น
- **2.2. Code Hosting:**
- Application name: git
- Service: Gitea (Self-hosted on QNAP)
- Service name: gitea
- Domain: git.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นศูนย์กลางในการเก็บและจัดการเวอร์ชันของโค้ด (Source Code) สำหรับทุกส่วน
- **2.3. Backend / Data Platform:**
- Application name: lcbp3-backend
- Service: NestJS
- Service name: backend
- Domain: backend.np-dms.work
- Framework: NestJS (Node.js, TypeScript, ESM)
- หน้าที่: จัดการโครงสร้างข้อมูล (Data Models), สร้าง API, จัดการสิทธิ์ผู้ใช้ (Roles & Permissions), และสร้าง Workflow ทั้งหมดของระบบ
- **2.4. Database:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: mariadb:10.11
- Service name: mariadb
- Domain: db.np-dms.work
- หน้าที่: ฐานข้อมูลหลักสำหรับเก็บข้อมูลทั้งหมด
- Tooling: DBeaver (Community Edition), phpmyadmin สำหรับการออกแบบและจัดการฐานข้อมูล
- **2.5. Database management:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: phpmyadmin:5-apache
- Service name: pma
- Domain: pma.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการฐานข้อมูล mariadb ผ่าน Web UI
- **2.6. Frontend:**
- Application name: lcbp3-frontend
- Service: next.js
- Service name: frontend
- Domain: lcbp3.np-dms.work
- Framework: Next.js (App Router, React, TypeScript, ESM)
- Styling: Tailwind CSS + PostCSS
- Component Library: shadcn/ui
- หน้าที่: สร้างหน้าตาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับให้ผู้ใช้งานเข้ามาดู Dashboard, จัดการเอกสาร, และติดตามงาน โดยจะสื่อสารกับ Backend ผ่าน API
- **2.7. Workflow automation:**
- Application name: lcbp3-n8n
- Service: n8nio/n8n:latest
- Service name: n8n
- Domain: n8n.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการ workflow ระหว่าง Backend และ Line
- **2.8. Reverse Proxy:**
- Application name: lcbp3-npm
- Service: Nginx Proxy Manager (nginx-proxy-manage: latest)
- Service name: npm
- Domain: npm.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นด่านหน้าในการรับ-ส่งข้อมูล จัดการโดเมนทั้งหมด, ทำหน้าที่เป็น Proxy ชี้ไปยัง Service ที่ถูกต้อง, และจัดการ SSL Certificate (HTTPS) ให้อัตโนมัติ
- **2.9. การจัดการตรรกะทางธุรกิจ (Business Logic Implementation):**
- 2.9.1. ตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อนทั้งหมด (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow [cite: 3.5.4, 3.6.5], การบังคับใช้สิทธิ์ [cite: 4.4], การตรวจสอบ Deadline [cite: 3.2.5]) **จะถูกจัดการในฝั่ง Backend (NestJS)** [cite: 2.3] เพื่อให้สามารถบำรุงรักษาและทดสอบได้ง่าย (Testability)
- 2.9.2. **จะไม่มีการใช้ SQL Triggers** เพื่อป้องกันตรรกะซ่อนเร้น (Hidden Logic) และความซับซ้อนในการดีบัก
- 2.9.3. **ข้อยกเว้น:** ตรรกะเดียวที่จะอยู่ในฐานข้อมูลคือ **Stored Procedure** สำหรับการสร้างเลขที่เอกสาร (Document Numbering) [cite: 3.10] เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Race Condition)
## **📦 3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน (Functional Requirements)**
- **3.1. การจัดการโครงสร้างโครงการและองค์กร**
- 3.1.1. โครงการ (Projects): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในหลายโครงการได้ (ปัจจุบันมี 4 โครงการ และจะเพิ่มขึ้นในอนาคต)
- 3.1.2. สัญญา (Contracts): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในแต่ละสัญญาได้ ในแต่ละโครงการ มีได้หลายสัญญา หรืออย่างน้อย 1 สัญญา
- 3.1.3. องค์กร (Organizations):
- มีหลายองค์กรในโครงการ องค์กรณ์ที่เป็น Owner, Designer และ Consultant สามารถอยู่ในหลายโครงการและหลายสัญญาได้
- Contractor จะถือ 1 สัญญา และอยู่ใน 1 โครงการเท่านั้น
- **3.2. การจัดการเอกสารโต้ตอบ (Correspondence Management)**
- 3.2.1. วัตถุประสงค์: เอกสารโต้ตอบ (correspondences) ระหว่างองกรณื-องกรณ์ ภายใน โครงการ (Projects) และระหว่าง องค์กร-องค์กร ภายนอก โครงการ (Projects), รองรับ To (ผู้รับหลัก) และ CC (ผู้รับสำเนา) หลายองค์กร
- 3.2.2. ประเภทเอกสาร: ระบบต้องรองรับเอกสารรูปแบบ ไฟล์ PDF หลายประเภท (Types) เช่น จดหมาย (Letter), อีเมล์ (Email), Request for Information (RFI), และสามารถเพิ่มประเภทใหม่ได้ในภายหลัง
- 3.2.3. การสร้างเอกสาร (Correspondence):
- ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ (เช่น Document Control) สามารถสร้างเอกสารรอไว้ในสถานะ ฉบับร่าง" (Draft) ได้ ซึ่งผู้ใช้งานต่างองค์กรจะมองไม่เห็น
- เมื่อกด "Submitted" แล้ว การแก้ไข, ถอนเอกสารกลับไปสถานะ Draft, หรือยกเลิก (Cancel) จะต้องทำโดยผู้ใช้ระดับ Admin ขึ้นไป พร้อมระบุเหตุผล
- 3.2.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม:
- เอกสารสามารถอ้างถึง (Reference) เอกสารฉบับก่อนหน้าได้หลายฉบับ
- สามารถกำหนด Tag ได้หลาย Tag เพื่อจัดกลุ่มและใช้ในการค้นหาขั้นสูง
- 3.2.5. Routings : ต้องรองรับกระบวนการส่งต่อเอกสาร (Routing) ตามลำดับ เช่น
- ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Wouting ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.2.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่เป็นผู้รับได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบขององกรณ์ที่เป็น ผู้รับ/ผู้ส่ง ทราบ เมื่อมีเอกสารใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.3. การจัดกาแบบคู่สัญญา (Contract Drawing)**
- 3.3.1. วัตถุประสงค์: แบบคู่สัญญา (Contract Drawing) ใช้เพื่ออ้างอิงและใช้ในการตรวจสอบ
- 3.3.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.3.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.3.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ใช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Contract Drawing
- **3.4. การจัดกาแบบก่อสร้าง (Shop Drawing)**
- 3.4.1. วัตถุประสงค์: แบบก่อสร้าง (Shop Drawing) ใช้เในการตรวจสอบ โดยจัดส่งด้วย Request for Approval (RFA)
- 3.4.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.4.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.4.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Shop Drawings
- **3.5. การจัดการเอกสารขออนุมัติ (Request for Approval & Workflow)**
- 3.5.1. วัตถุประสงค์: เอกสารขออนุมัติ (Request for Approval) ใช้ในการส่งเอกสารเพิอขออนุมัติ
- 3.5.2. ประเภทเอกสาร: Request for Approval (RFA) เป็นชนิดหนึ่งของ Correspondence ที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องได้รับการอนุมัติ มีประเภทดังนี้:
- Request for Drawing Approval (RFA_DWG)
- Request for Document Approval (RFA_DOC)
- Request for Method statement Approval (RFA_MES)
- Request for Material Approval (RFA_MAT)
- 3.5.2. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.5.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การจัดการ Drawing (RFA_DWG):
- เอกสาร RFA_DWG จะประกอบไปด้วย Shop Drawing (shop_drawings) หลายแผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นมี Revision ของตัวเอง
- Shop Drawing แต่ละ Revision สามารถอ้างอิงถึง Contract Drawing (Ccontract_drawings) หลายแผ่น หรือไม่อ้างถึงก็ได้
- ระบบต้องมีส่วนสำหรับจัดการข้อมูล Master Data ของทั้ง Shop Drawing และ Contract Drawing แยกจากกัน
- 3.6.5. Workflow การอนุมัติ: ต้องรองรับกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อนและเป็นลำดับ เช่น
- ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Workflow ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.6.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ทราบ เมื่อมี RFA ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.6.การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals)**
- 3.6.1. วัตถุประสงค์: เอกสารนำส่ง ใช้สำหรับ นำส่ง Request for Approval (RFAS) หลายฉบับ ไปยังองค์กรอื่น
- 3.6.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.6.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.6.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: เอกสารนำส่ง เป็นส่วนหนึ่งใน Correspondence
- **3.7. ใบเวียนเอกสาร (Circulation Sheet)**
- 3.7.1. วัตถุประสงค์: การสื่อสาร เอกสาร (Correspondence) ทุกฉบับ จะมีใบเวียนเอกสารเพื่อควบคุมและมอบหมายงานภายในองค์กร (สามารถดูและแก้ไขได้เฉพาะคนในองค์กร)
- 3.7.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.7.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในองค์กรนั้น สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.7.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การระบุผู้รับผิดชอบ:
- ผู้รับผิดชอบหลัก (Main): มีได้หลายคน
- ผู้ร่วมปฏิบัติงาน (Action): มีได้หลายคน
- ผู้ที่ต้องรับทราบ (Information): มีได้หลายคน
- 3.7.5. การติดตามงาน:
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบประเภท Main และ Action ได้
- มีระบบแจ้งเตือนเมื่อมี Circulation ใหม่ และแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงวันแล้วเสร็จ
- สามารถปิด Circulation ได้เมื่อดำเนินการตอบกลับไปยังองค์กรผู้ส่ง (Originator) แล้ว หรือ รับทราบแล้ว (For Information)
- **3.8. ประวัติการแก้ไข (Revisions):** ระบบจะเก็บประวัติการสร้างและแก้ไข เอกสารทั้งหมด
- **3.9. การจัดเก็บ: (ปรับปรุงตามสถาปัตยกรรมใหม่)**
- เอกสารและไฟล์แนบทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์บน Server (/share/dms-data/) [cite: 2.1]
- ข้อมูล Metadata ของไฟล์ (เช่น ชื่อไฟล์, ขนาด, path) จะถูกเก็บในตาราง attachments (ตารางกลาง)
- ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงกับเอกสารประเภทต่างๆ ผ่านตารางเชื่อม (Junction tables) เช่น correspondence_attachments, circulation_attachments, shop_drawing_revision_attachments ,และ contracy_drawing_attachments
- สถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์นี้ _แทนที่_ แนวคิดเดิมที่จะแยกโฟลเดอร์ตามประเภทเอกสาร เพื่อรองรับการขยายระบบที่ดีกว่า
- **3.10. การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering):**
- 3.10.1. ระบบต้องสามารถสร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence_number) ได้โดยอัตโนมัติ
- 3.10.2. การนับเลข Running Number (SEQ) จะต้องนับแยกตาม Key ดังนี้: **โครงการ (Project)**, **องค์กรผู้ส่ง (Originator Organization)**, **ประเภทเอกสาร (Document Type)** และ **ปีปัจจุบัน (Year)**
- 3.10.3. ผู้ดูแลระบบ (Admin) ต้องสามารถกำหนด "รูปแบบ" (Format Template) ของเลขที่เอกสารได้ (เช่น {ORG_CODE}-{TYPE_CODE}-{YEAR_SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดแยกตามโครงการและประเภทเอกสาร
## **🔐 4. ข้อกำหนดด้านสิทธิ์และการเข้าถึง (Access Control Requirements)**
- **4.1. ภาพรวม:** ผู้ใช้และองค์กรสามารถดูและแก้ไขเอกสารได้ตามสิทธิ์ที่ได้รับ โดยระบบสิทธิ์จะเป็นแบบ Role-Based Access Control (RBAC)
- **4.2. ลำดับชั้นของสิทธิ์ (Permission Hierarchy)**
- Global: สิทธิ์สูงสุดของระบบ
- Organization: สิทธิ์ภายในองค์กร เป็นสิทธิ์พื้นฐานของผู้ใช้
- Project: สิทธิ์เฉพาะในโครงการ จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในโครงการนั้น
- Contract: สิทธิ์เฉพาะในสัญญา จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในสัญญานั้น (สัญญาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ)
กฎการบังคับใช้: เมื่อตรวจสอบสิทธิ์ ระบบจะพิจารณาสิทธิ์จากทุกระดับที่ผู้ใช้มี และใช้ สิทธิ์ที่มากที่สุด (Most Permissive) เป็นตัวตัดสิน
ตัวอย่าง: ผู้ใช้ A เป็น Viewer ในองค์กร แต่ถูกมอบหมายเป็น Editor ในโครงการ X เมื่ออยู่ในโครงการ X ผู้ใช้ A จะมีสิทธิ์แก้ไขได้
- **4.3. การกำหนดบทบาท (Roles) และขอบเขต (Scope)**
| บทบาท (Role) | ขอบเขต (Scope) | คำอธิบาย | สิทธิ์หลัก (Key Permissions) |
| :------------------- | :------------- | :---------------------- | :------------------------------------------------------------------------------------- |
| **Superadmin** | Global | ผู้ดูแลระบบสูงสุด | ทำทุกอย่างในระบบ, จัดการองค์กร, จัดการข้อมูลหลักระดับ Global |
| **Org Admin** | Organization | ผู้ดูแลองค์กร | จัดการผู้ใช้ในองค์กร, จัดการบทบาท/สิทธิ์ภายในองค์กร, ดูรายงานขององค์กร |
| **Document Control** | Organization | ควบคุมเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไข/ลบเอกสาร, กำหนดสิทธิ์เอกสารภายในองค์กร |
| **Editor** | Organization | ผู้แก้ไขเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไขเอกสารที่ได้รับมอบหมาย |
| **Viewer** | Organization | ผู้ดูเอกสารขององค์กร | ดูเอกสารที่มีสิทธิ์เข้าถึง |
| **Project Manager** | Project | ผู้จัดการโครงการ | จัดการสมาชิกในโครงการ (เพิ่ม/ลบ/มอบบทบาท), สร้าง/จัดการสัญญาในโครงการ, ดูรายงานโครงการ |
| **Contract Admin** | Contract | ผู้ดูแลสัญญา | จัดการสมาชิกในสัญญา, สร้าง/จัดการข้อมูลหลักเฉพาะสัญญา (ถ้ามี), อนุมัติเอกสารในสัญญา |
- **4.4. กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding Workflow) ที่สมบูรณ์**
- 4.1. **สร้างองค์กร (Organization)**
- **Superadmin** สร้างองค์กรใหม่ (เช่น บริษัท A)
- **Superadmin** แต่งตั้งผู้ใช้อย่างน้อย 1 คนให้เป็น **Org Admin** หรือ **Document Control** ของบริษัท A
- 4.2. **เพิ่มผู้ใช้ในองค์กร**
- **Org Admin** ของบริษัท A เพิ่มผู้ใช้อื่นๆ (Editor, Viewer) เข้ามาในองค์กรของตน
- 4.3. **มอบหมายผู้ใช้ให้กับโครงการ (Project)**
- **Project Manager** ของโครงการ X (ซึ่งอาจมาจากบริษัท A หรือบริษัทอื่น) ทำการ "เชิญ" หรือ "มอบหมาย" ผู้ใช้จากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาในโครงการ X
- ในขั้นตอนนี้ **Project Manager** จะกำหนด **บทบาทระดับโครงการ** (เช่น Project Member, หรืออาจไม่มีบทบาทพิเศษ ให้ใช้สิทธิ์จากระดับองค์กรไปก่อน)
- 4.4. **เมอบหมายผู้ใช้ให้กับสัญญา (Contract)**
- **Contract Admin** ของสัญญา Y (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ X) ทำการเลือกผู้ใช้ที่อยู่ในโครงการ X แล้ว มอบหมายให้เข้ามาในสัญญา Y
- ในขั้นตอนนี้ **Contract Admin** จะกำหนด **บทบาทระดับสัญญา** (เช่น Contract Member) และสิทธิ์เฉพาะที่จำเป็น
- **4.5. การจัดการข้อมูลหลัก (Master Data Management) ที่แบ่งตามระดับ**
| ข้อมูลหลัก | ผู้มีสิทธิ์จัดการ | ระดับ |
| :---------------------------------- | :------------------------------ | :--------------------------------- |
| ประเภทเอกสาร (Correspondence, RFA) | **Superadmin** | Global |
| สถานะเอกสาร (Draft, Approved, etc.) | **Superadmin** | Global |
| หมวดหมู่แบบ (Shop Drawing) | **Project Manager** | Project (สร้างใหม่ได้ภายในโครงการ) |
| Tags | **Org Admin / Project Manager** | Organization / Project |
| บทบาทและสิทธิ์ (Custom Roles) | **Superadmin / Org Admin** | Global / Organization |
## **👥 5. ข้อกำหนดด้านผู้ใช้งาน (User Interface & Experience)**
- **5.1. Layout หลัก:** หน้าเว็บใช้รูปแบบ App Shell ที่ประกอบด้วย:
- Navbar (ส่วนบน): แสดงชื่อระบบ, เมนูผู้ใช้ (Profile), เมนูสำหรับ Document Control/เมนูสำหรับ Admin/Superadmin (จัดการผู้ใช้, จัดการสิทธิ์), และปุ่ม Login/Logout
- Sidebar (ด้านข้าง): เป็นเมนูหลักสำหรับเข้าถึงส่วนที่เกี่ยวกับเอกสารทั้งหมด เช่น Dashboard, Correspondences, RFA, Drawings
- Main Content Area: พื้นที่สำหรับแสดงเนื้อหาหลักของหน้าที่เลือก
- **5.2. หน้า Landing Page:** เป็นหน้าแรกที่แสดงข้อมูลบางส่วนของโครงการสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่ได้ล็อกอิน
- **5.3. หน้า Dashboard:** เป็นหน้าแรกหลังจากล็อกอิน ประกอบด้วย:
- การ์ดสรุปภาพรวม (KPI Cards): แสดงข้อมูลสรุปที่สำคัญขององค์กร เช่น จำนวนเอกสาร, งานที่เกินกำหนด
- ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks Table): แสดงรายการงานทั้งหมดจาก Circulation ที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ
- **5.4. การติดตามสถานะ:** องค์กรสามารถติดตามสถานะเอกสารทั้งของตนเอง (Originator) และสถานะเอกสารที่ส่งมาถึงตนเอง (Recipient)
- **5.5. การจัดการข้อมูลส่วนตัว (Profile Page):** ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลส่วนตัวและเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองได้
- **5.6. การจัดการเอกสารทางเทคนิค (RFA & Workflow):** ผู้ใช้สามารถดู RFA ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว, ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.7. การจัดการใบเวียนเอกสาร (Circulation):** ผู้ใช้สามารถดู Circulation ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว,ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.8. การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals):** ผู้ใช้สามารถดู Transmittals ในรูปแบบรายการทั้งหมดได้ในหน้าเดียว
- **5.9. ข้อกำหนด UI/UX การแนบไฟล์ (File Attachment UX):**
- ระบบต้องรองรับการอัปโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน (Multi-file upload) เช่น การลากและวาง (Drag-and-Drop)
- ในหน้าอัปโหลด (เช่น สร้าง RFA หรือ Correspondence) ผู้ใช้ต้องสามารถกำหนดได้ว่าไฟล์ใดเป็น "เอกสารหลัก" (Main Document เช่น PDF) และไฟล์ใดเป็น "เอกสารแนบประกอบ" (Supporting Attachments เช่น .dwg, .docx, .zip)
## **6. ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
- **6.1. การบันทึกการกระทำ (Audit Log):** ทุกการกระทำที่สำคัญของผู้ใช้ (สร้าง, แก้ไข, ลบ, ส่ง) จะถูกบันทึกไว้ใน audit_logs เพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง
- **6.2. การค้นหา (Search):** ระบบต้องมีฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูง ที่สามารถค้นหาเอกสาร **correspondence**, **rfa**, **shop_drawing**, **contract-drawing**, **transmittal** และ **ใบเวียน (Circulations)** จากหลายเงื่อนไขพร้อมกันได้ เช่น ค้นหาจากชื่อเรื่อง, ประเภท, วันที่, และ Tag
- **6.3. การทำรายงาน (Reporting):** สามารถจัดทำรายงานสรุปแยกประเภทของ Correspondence ประจำวัน, สัปดาห์, เดือน, และปีได้
- **6.4. ประสิทธิภาพ (Performance):** มีการใช้ Caching กับข้อมูลที่เรียกใช้บ่อย และใช้ Pagination ในตารางข้อมูลเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมาก
- **6.5. ความปลอดภัย (Security):**
- มีระบบ Rate Limiting เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Brute-force
- การจัดการ Secret (เช่น รหัสผ่าน DB, JWT Secret) จะต้องทำผ่าน Environment Variable ของ Docker เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- **6.6. การสำรองข้อมูลและการกู้คืน (Backup & Recovery):**
- ระบบจะต้องมีกลไกการสำรองข้อมูลอัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูล MariaDB [cite: 2.4] และไฟล์เอกสารทั้งหมดใน /share/dms-data [cite: 2.1] (เช่น ใช้ HBS 3 ของ QNAP หรือสคริปต์สำรองข้อมูล) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ต้องมีแผนการกู้คืนระบบ (Disaster Recovery Plan) ในกรณีที่ Server หลัก (QNAP) ใช้งานไม่ได้
- **6.7. กลยุทธ์การแจ้งเตือน (Notification Strategy):**
- ระบบจะส่งการแจ้งเตือน (ผ่าน Email หรือ Line [cite: 2.7]) เมื่อมีการกระทำที่สำคัญ ดังนี้:
1. เมื่อมีเอกสารใหม่ (Correspondence, RFA) ถูกส่งมาถึงองค์กรณ์ของเรา
2. เมื่อมีใบเวียน (Circulation) ใหม่ มอบหมายงานมาที่เรา
3. (ทางเลือก) เมื่อเอกสารที่เราส่งไป ถูกดำเนินการ (เช่น อนุมัติ/ปฏิเสธ)
4. (ทางเลือก) เมื่อใกล้ถึงวันครบกำหนด (Deadline) [cite: 3.2.5, 3.6.6, 3.7.5]
# **📝 Documents Management Sytem Version 1.4.0: Application Requirements Specification**
## **📌 1. วัตถุประสงค์**
สร้างเว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับระบบบริหารจัดการเอกสารโครงการ (Document Management System)ที่สามารถจัดการและควบคุม การสื่อสารด้วยเอกสารที่ซับซ้อน อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีฟังก์ชันหลักในการอัปโหลด จัดเก็บ ค้นหา แชร์ และควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงเอกสาร
- ช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษ เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล
- เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างองกรณ์
## **🛠️ 2. สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี (System Architecture & Technology Stack)**
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Headless/API-First ที่ทันสมัย ทำงานทั้งหมดบน QNAP Server ผ่าน Container Station เพื่อความสะดวกในการจัดการและบำรุงรักษา, Domain: np-dms.work, มี fix ip, รัน docker command ใน application ของ Container Station ได้โดยตรง, ประกอบด้วย
- **2.1. Infrastructure & Environment:**
- Server: QNAP (Model: TS-473A, RAM: 32GB, CPU: AMD Ryzen V1500B)
- Containerization: Container Station (Docker & Docker Compose) ใช้ UI ของ Container Station เป็นหลัก ในการ configuration และการรัน docker command
- Development Environment: VS Code on Windows 11
- Domain: np-dms.work, www.np-dms.work
- ip: 159.192.126.103
- Docker Network: ทุก Service จะเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายกลางชื่อ lcbp3 เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้
- Data Storage: /share/dms-data บน QNAP
- ข้อจำกัด: ไม่สามารถใช้ .env ในการกำหนดตัวแปรภายนอกได้ ต้องกำหนดใน docker-compose.yml เท่านั้น
- **2.2. Code Hosting:**
- Application name: git
- Service: Gitea (Self-hosted on QNAP)
- Service name: gitea
- Domain: git.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นศูนย์กลางในการเก็บและจัดการเวอร์ชันของโค้ด (Source Code) สำหรับทุกส่วน
- **2.3. Backend / Data Platform:**
- Application name: lcbp3-backend
- Service: NestJS
- Service name: backend
- Domain: backend.np-dms.work
- Framework: NestJS (Node.js, TypeScript, ESM)
- หน้าที่: จัดการโครงสร้างข้อมูล (Data Models), สร้าง API, จัดการสิทธิ์ผู้ใช้ (Roles & Permissions), และสร้าง Workflow ทั้งหมดของระบบ
- **2.4. Database:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: mariadb:10.11
- Service name: mariadb
- Domain: db.np-dms.work
- หน้าที่: ฐานข้อมูลหลักสำหรับเก็บข้อมูลทั้งหมด
- Tooling: DBeaver (Community Edition), phpmyadmin สำหรับการออกแบบและจัดการฐานข้อมูล
- **2.5. Database management:**
- Application name: lcbp3-db
- Service: phpmyadmin:5-apache
- Service name: pma
- Domain: pma.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการฐานข้อมูล mariadb ผ่าน Web UI
- **2.6. Frontend:**
- Application name: lcbp3-frontend
- Service: next.js
- Service name: frontend
- Domain: lcbp3.np-dms.work
- Framework: Next.js (App Router, React, TypeScript, ESM)
- Styling: Tailwind CSS + PostCSS
- Component Library: shadcn/ui
- หน้าที่: สร้างหน้าตาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับให้ผู้ใช้งานเข้ามาดู Dashboard, จัดการเอกสาร, และติดตามงาน โดยจะสื่อสารกับ Backend ผ่าน API
- **2.7. Workflow automation:**
- Application name: lcbp3-n8n
- Service: n8nio/n8n:latest
- Service name: n8n
- Domain: n8n.np-dms.work
- หน้าที่: จัดการ workflow ระหว่าง Backend และ Line
- **2.8. Reverse Proxy:**
- Application name: lcbp3-npm
- Service: Nginx Proxy Manager (nginx-proxy-manage: latest)
- Service name: npm
- Domain: npm.np-dms.work
- หน้าที่: เป็นด่านหน้าในการรับ-ส่งข้อมูล จัดการโดเมนทั้งหมด, ทำหน้าที่เป็น Proxy ชี้ไปยัง Service ที่ถูกต้อง, และจัดการ SSL Certificate (HTTPS) ให้อัตโนมัติ
- **2.9. การจัดการตรรกะทางธุรกิจ (Business Logic Implementation):**
- 2.9.1. ตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อนทั้งหมด (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow [cite: 3.5.4, 3.6.5], การบังคับใช้สิทธิ์ [cite: 4.4], การตรวจสอบ Deadline [cite: 3.2.5]) **จะถูกจัดการในฝั่ง Backend (NestJS)** [cite: 2.3] เพื่อให้สามารถบำรุงรักษาและทดสอบได้ง่าย (Testability)
- 2.9.2. **จะไม่มีการใช้ SQL Triggers** เพื่อป้องกันตรรกะซ่อนเร้น (Hidden Logic) และความซับซ้อนในการดีบัก
- 2.9.3. **ข้อยกเว้น:** ตรรกะเดียวที่จะอยู่ในฐานข้อมูลคือ **Stored Procedure** สำหรับการสร้างเลขที่เอกสาร (Document Numbering) [cite: 3.10] เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Race Condition)
## **📦 3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน (Functional Requirements)**
- **3.1. การจัดการโครงสร้างโครงการและองค์กร**
- 3.1.1. โครงการ (Projects): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในหลายโครงการได้ (ปัจจุบันมี 4 โครงการ และจะเพิ่มขึ้นในอนาคต)
- 3.1.2. สัญญา (Contracts): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในแต่ละสัญญาได้ ในแต่ละโครงการ มีได้หลายสัญญา หรืออย่างน้อย 1 สัญญา
- 3.1.3. องค์กร (Organizations):
- มีหลายองค์กรในโครงการ องค์กรณ์ที่เป็น Owner, Designer และ Consultant สามารถอยู่ในหลายโครงการและหลายสัญญาได้
- Contractor จะถือ 1 สัญญา และอยู่ใน 1 โครงการเท่านั้น
- **3.2. การจัดการเอกสารโต้ตอบ (Correspondence Management)**
- 3.2.1. วัตถุประสงค์: เอกสารโต้ตอบ (correspondences) ระหว่างองกรณื-องกรณ์ ภายใน โครงการ (Projects) และระหว่าง องค์กร-องค์กร ภายนอก โครงการ (Projects), รองรับ To (ผู้รับหลัก) และ CC (ผู้รับสำเนา) หลายองค์กร
- 3.2.2. ประเภทเอกสาร: ระบบต้องรองรับเอกสารรูปแบบ ไฟล์ PDF หลายประเภท (Types) เช่น จดหมาย (Letter), อีเมล์ (Email), Request for Information (RFI), และสามารถเพิ่มประเภทใหม่ได้ในภายหลัง
- 3.2.3. การสร้างเอกสาร (Correspondence):
- ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ (เช่น Document Control) สามารถสร้างเอกสารรอไว้ในสถานะ ฉบับร่าง" (Draft) ได้ ซึ่งผู้ใช้งานต่างองค์กรจะมองไม่เห็น
- เมื่อกด "Submitted" แล้ว การแก้ไข, ถอนเอกสารกลับไปสถานะ Draft, หรือยกเลิก (Cancel) จะต้องทำโดยผู้ใช้ระดับ Admin ขึ้นไป พร้อมระบุเหตุผล
- 3.2.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม:
- เอกสารสามารถอ้างถึง (Reference) เอกสารฉบับก่อนหน้าได้หลายฉบับ
- สามารถกำหนด Tag ได้หลาย Tag เพื่อจัดกลุ่มและใช้ในการค้นหาขั้นสูง
- 3.2.5. Routings : ต้องรองรับกระบวนการส่งต่อเอกสาร (Routing) ตามลำดับ เช่น
- ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Wouting ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.2.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่เป็นผู้รับได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบขององกรณ์ที่เป็น ผู้รับ/ผู้ส่ง ทราบ เมื่อมีเอกสารใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.3. การจัดกาแบบคู่สัญญา (Contract Drawing)**
- 3.3.1. วัตถุประสงค์: แบบคู่สัญญา (Contract Drawing) ใช้เพื่ออ้างอิงและใช้ในการตรวจสอบ
- 3.3.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.3.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.3.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ใช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Contract Drawing
- **3.4. การจัดกาแบบก่อสร้าง (Shop Drawing)**
- 3.4.1. วัตถุประสงค์: แบบก่อสร้าง (Shop Drawing) ใช้เในการตรวจสอบ โดยจัดส่งด้วย Request for Approval (RFA)
- 3.4.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.4.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.4.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Shop Drawings
- **3.5. การจัดการเอกสารขออนุมัติ (Request for Approval & Workflow)**
- 3.5.1. วัตถุประสงค์: เอกสารขออนุมัติ (Request for Approval) ใช้ในการส่งเอกสารเพิอขออนุมัติ
- 3.5.2. ประเภทเอกสาร: Request for Approval (RFA) เป็นชนิดหนึ่งของ Correspondence ที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องได้รับการอนุมัติ มีประเภทดังนี้:
- Request for Drawing Approval (RFA_DWG)
- Request for Document Approval (RFA_DOC)
- Request for Method statement Approval (RFA_MES)
- Request for Material Approval (RFA_MAT)
- 3.5.2. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.5.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การจัดการ Drawing (RFA_DWG):
- เอกสาร RFA_DWG จะประกอบไปด้วย Shop Drawing (shop_drawings) หลายแผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นมี Revision ของตัวเอง
- Shop Drawing แต่ละ Revision สามารถอ้างอิงถึง Contract Drawing (Ccontract_drawings) หลายแผ่น หรือไม่อ้างถึงก็ได้
- ระบบต้องมีส่วนสำหรับจัดการข้อมูล Master Data ของทั้ง Shop Drawing และ Contract Drawing แยกจากกัน
- 3.6.5. Workflow การอนุมัติ: ต้องรองรับกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อนและเป็นลำดับ เช่น
- ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Workflow ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
- 3.6.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ได้
- มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ทราบ เมื่อมี RFA ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
- **3.6.การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals)**
- 3.6.1. วัตถุประสงค์: เอกสารนำส่ง ใช้สำหรับ นำส่ง Request for Approval (RFAS) หลายฉบับ ไปยังองค์กรอื่น
- 3.6.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.6.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.6.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: เอกสารนำส่ง เป็นส่วนหนึ่งใน Correspondence
- **3.7. ใบเวียนเอกสาร (Circulation Sheet)**
- 3.7.1. วัตถุประสงค์: การสื่อสาร เอกสาร (Correspondence) ทุกฉบับ จะมีใบเวียนเอกสารเพื่อควบคุมและมอบหมายงานภายในองค์กร (สามารถดูและแก้ไขได้เฉพาะคนในองค์กร)
- 3.7.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
- 3.7.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในองค์กรนั้น สามารถสร้างและแก้ไขได้
- 3.7.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การระบุผู้รับผิดชอบ:
- ผู้รับผิดชอบหลัก (Main): มีได้หลายคน
- ผู้ร่วมปฏิบัติงาน (Action): มีได้หลายคน
- ผู้ที่ต้องรับทราบ (Information): มีได้หลายคน
- 3.7.5. การติดตามงาน:
- สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบประเภท Main และ Action ได้
- มีระบบแจ้งเตือนเมื่อมี Circulation ใหม่ และแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงวันแล้วเสร็จ
- สามารถปิด Circulation ได้เมื่อดำเนินการตอบกลับไปยังองค์กรผู้ส่ง (Originator) แล้ว หรือ รับทราบแล้ว (For Information)
- **3.8. ประวัติการแก้ไข (Revisions):** ระบบจะเก็บประวัติการสร้างและแก้ไข เอกสารทั้งหมด
- **3.9. การจัดเก็บ: (ปรับปรุงตามสถาปัตยกรรมใหม่)**
- เอกสารและไฟล์แนบทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์บน Server (/share/dms-data/) [cite: 2.1]
- ข้อมูล Metadata ของไฟล์ (เช่น ชื่อไฟล์, ขนาด, path) จะถูกเก็บในตาราง attachments (ตารางกลาง)
- ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงกับเอกสารประเภทต่างๆ ผ่านตารางเชื่อม (Junction tables) เช่น correspondence_attachments, circulation_attachments, shop_drawing_revision_attachments ,และ contracy_drawing_attachments
- สถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์นี้ _แทนที่_ แนวคิดเดิมที่จะแยกโฟลเดอร์ตามประเภทเอกสาร เพื่อรองรับการขยายระบบที่ดีกว่า
- **3.10. การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering):**
- 3.10.1. ระบบต้องสามารถสร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence_number) ได้โดยอัตโนมัติ
- 3.10.2. การนับเลข Running Number (SEQ) จะต้องนับแยกตาม Key ดังนี้: **โครงการ (Project)**, **องค์กรผู้ส่ง (Originator Organization)**, **ประเภทเอกสาร (Document Type)** และ **ปีปัจจุบัน (Year)**
- 3.10.3. ผู้ดูแลระบบ (Admin) ต้องสามารถกำหนด "รูปแบบ" (Format Template) ของเลขที่เอกสารได้ (เช่น {ORG_CODE}-{TYPE_CODE}-{YEAR_SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดแยกตามโครงการและประเภทเอกสาร
## **🔐 4. ข้อกำหนดด้านสิทธิ์และการเข้าถึง (Access Control Requirements)**
- **4.1. ภาพรวม:** ผู้ใช้และองค์กรสามารถดูและแก้ไขเอกสารได้ตามสิทธิ์ที่ได้รับ โดยระบบสิทธิ์จะเป็นแบบ Role-Based Access Control (RBAC)
- **4.2. ลำดับชั้นของสิทธิ์ (Permission Hierarchy)**
- Global: สิทธิ์สูงสุดของระบบ
- Organization: สิทธิ์ภายในองค์กร เป็นสิทธิ์พื้นฐานของผู้ใช้
- Project: สิทธิ์เฉพาะในโครงการ จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในโครงการนั้น
- Contract: สิทธิ์เฉพาะในสัญญา จะถูกพิจารณาเมื่อผู้ใช้อยู่ในสัญญานั้น (สัญญาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ)
กฎการบังคับใช้: เมื่อตรวจสอบสิทธิ์ ระบบจะพิจารณาสิทธิ์จากทุกระดับที่ผู้ใช้มี และใช้ สิทธิ์ที่มากที่สุด (Most Permissive) เป็นตัวตัดสิน
ตัวอย่าง: ผู้ใช้ A เป็น Viewer ในองค์กร แต่ถูกมอบหมายเป็น Editor ในโครงการ X เมื่ออยู่ในโครงการ X ผู้ใช้ A จะมีสิทธิ์แก้ไขได้
- **4.3. การกำหนดบทบาท (Roles) และขอบเขต (Scope)**
| บทบาท (Role) | ขอบเขต (Scope) | คำอธิบาย | สิทธิ์หลัก (Key Permissions) |
| :------------------- | :------------- | :---------------------- | :------------------------------------------------------------------------------------- |
| **Superadmin** | Global | ผู้ดูแลระบบสูงสุด | ทำทุกอย่างในระบบ, จัดการองค์กร, จัดการข้อมูลหลักระดับ Global |
| **Org Admin** | Organization | ผู้ดูแลองค์กร | จัดการผู้ใช้ในองค์กร, จัดการบทบาท/สิทธิ์ภายในองค์กร, ดูรายงานขององค์กร |
| **Document Control** | Organization | ควบคุมเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไข/ลบเอกสาร, กำหนดสิทธิ์เอกสารภายในองค์กร |
| **Editor** | Organization | ผู้แก้ไขเอกสารขององค์กร | เพิ่ม/แก้ไขเอกสารที่ได้รับมอบหมาย |
| **Viewer** | Organization | ผู้ดูเอกสารขององค์กร | ดูเอกสารที่มีสิทธิ์เข้าถึง |
| **Project Manager** | Project | ผู้จัดการโครงการ | จัดการสมาชิกในโครงการ (เพิ่ม/ลบ/มอบบทบาท), สร้าง/จัดการสัญญาในโครงการ, ดูรายงานโครงการ |
| **Contract Admin** | Contract | ผู้ดูแลสัญญา | จัดการสมาชิกในสัญญา, สร้าง/จัดการข้อมูลหลักเฉพาะสัญญา (ถ้ามี), อนุมัติเอกสารในสัญญา |
- **4.4. กระบวนการเริ่มต้นใช้งาน (Onboarding Workflow) ที่สมบูรณ์**
- 4.1. **สร้างองค์กร (Organization)**
- **Superadmin** สร้างองค์กรใหม่ (เช่น บริษัท A)
- **Superadmin** แต่งตั้งผู้ใช้อย่างน้อย 1 คนให้เป็น **Org Admin** หรือ **Document Control** ของบริษัท A
- 4.2. **เพิ่มผู้ใช้ในองค์กร**
- **Org Admin** ของบริษัท A เพิ่มผู้ใช้อื่นๆ (Editor, Viewer) เข้ามาในองค์กรของตน
- 4.3. **มอบหมายผู้ใช้ให้กับโครงการ (Project)**
- **Project Manager** ของโครงการ X (ซึ่งอาจมาจากบริษัท A หรือบริษัทอื่น) ทำการ "เชิญ" หรือ "มอบหมาย" ผู้ใช้จากองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาในโครงการ X
- ในขั้นตอนนี้ **Project Manager** จะกำหนด **บทบาทระดับโครงการ** (เช่น Project Member, หรืออาจไม่มีบทบาทพิเศษ ให้ใช้สิทธิ์จากระดับองค์กรไปก่อน)
- 4.4. **เมอบหมายผู้ใช้ให้กับสัญญา (Contract)**
- **Contract Admin** ของสัญญา Y (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ X) ทำการเลือกผู้ใช้ที่อยู่ในโครงการ X แล้ว มอบหมายให้เข้ามาในสัญญา Y
- ในขั้นตอนนี้ **Contract Admin** จะกำหนด **บทบาทระดับสัญญา** (เช่น Contract Member) และสิทธิ์เฉพาะที่จำเป็น
- **4.5. การจัดการข้อมูลหลัก (Master Data Management) ที่แบ่งตามระดับ**
| ข้อมูลหลัก | ผู้มีสิทธิ์จัดการ | ระดับ |
| :---------------------------------- | :------------------------------ | :--------------------------------- |
| ประเภทเอกสาร (Correspondence, RFA) | **Superadmin** | Global |
| สถานะเอกสาร (Draft, Approved, etc.) | **Superadmin** | Global |
| หมวดหมู่แบบ (Shop Drawing) | **Project Manager** | Project (สร้างใหม่ได้ภายในโครงการ) |
| Tags | **Org Admin / Project Manager** | Organization / Project |
| บทบาทและสิทธิ์ (Custom Roles) | **Superadmin / Org Admin** | Global / Organization |
## **👥 5. ข้อกำหนดด้านผู้ใช้งาน (User Interface & Experience)**
- **5.1. Layout หลัก:** หน้าเว็บใช้รูปแบบ App Shell ที่ประกอบด้วย:
- Navbar (ส่วนบน): แสดงชื่อระบบ, เมนูผู้ใช้ (Profile), เมนูสำหรับ Document Control/เมนูสำหรับ Admin/Superadmin (จัดการผู้ใช้, จัดการสิทธิ์), และปุ่ม Login/Logout
- Sidebar (ด้านข้าง): เป็นเมนูหลักสำหรับเข้าถึงส่วนที่เกี่ยวกับเอกสารทั้งหมด เช่น Dashboard, Correspondences, RFA, Drawings
- Main Content Area: พื้นที่สำหรับแสดงเนื้อหาหลักของหน้าที่เลือก
- **5.2. หน้า Landing Page:** เป็นหน้าแรกที่แสดงข้อมูลบางส่วนของโครงการสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่ได้ล็อกอิน
- **5.3. หน้า Dashboard:** เป็นหน้าแรกหลังจากล็อกอิน ประกอบด้วย:
- การ์ดสรุปภาพรวม (KPI Cards): แสดงข้อมูลสรุปที่สำคัญขององค์กร เช่น จำนวนเอกสาร, งานที่เกินกำหนด
- ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks Table): แสดงรายการงานทั้งหมดจาก Circulation ที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ
- **5.4. การติดตามสถานะ:** องค์กรสามารถติดตามสถานะเอกสารทั้งของตนเอง (Originator) และสถานะเอกสารที่ส่งมาถึงตนเอง (Recipient)
- **5.5. การจัดการข้อมูลส่วนตัว (Profile Page):** ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลส่วนตัวและเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองได้
- **5.6. การจัดการเอกสารทางเทคนิค (RFA & Workflow):** ผู้ใช้สามารถดู RFA ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว, ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.7. การจัดการใบเวียนเอกสาร (Circulation):** ผู้ใช้สามารถดู Circulation ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว,ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ Document Control ขึ้นไป
- **5.8. การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals):** ผู้ใช้สามารถดู Transmittals ในรูปแบบรายการทั้งหมดได้ในหน้าเดียว
- **5.9. ข้อกำหนด UI/UX การแนบไฟล์ (File Attachment UX):**
- ระบบต้องรองรับการอัปโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน (Multi-file upload) เช่น การลากและวาง (Drag-and-Drop)
- ในหน้าอัปโหลด (เช่น สร้าง RFA หรือ Correspondence) ผู้ใช้ต้องสามารถกำหนดได้ว่าไฟล์ใดเป็น "เอกสารหลัก" (Main Document เช่น PDF) และไฟล์ใดเป็น "เอกสารแนบประกอบ" (Supporting Attachments เช่น .dwg, .docx, .zip)
## **6. ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
- **6.1. การบันทึกการกระทำ (Audit Log):** ทุกการกระทำที่สำคัญของผู้ใช้ (สร้าง, แก้ไข, ลบ, ส่ง) จะถูกบันทึกไว้ใน audit_logs เพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง
- **6.2. การค้นหา (Search):** ระบบต้องมีฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูง ที่สามารถค้นหาเอกสาร **correspondence**, **rfa**, **shop_drawing**, **contract-drawing**, **transmittal** และ **ใบเวียน (Circulations)** จากหลายเงื่อนไขพร้อมกันได้ เช่น ค้นหาจากชื่อเรื่อง, ประเภท, วันที่, และ Tag
- **6.3. การทำรายงาน (Reporting):** สามารถจัดทำรายงานสรุปแยกประเภทของ Correspondence ประจำวัน, สัปดาห์, เดือน, และปีได้
- **6.4. ประสิทธิภาพ (Performance):** มีการใช้ Caching กับข้อมูลที่เรียกใช้บ่อย และใช้ Pagination ในตารางข้อมูลเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมาก
- **6.5. ความปลอดภัย (Security):**
- มีระบบ Rate Limiting เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Brute-force
- การจัดการ Secret (เช่น รหัสผ่าน DB, JWT Secret) จะต้องทำผ่าน Environment Variable ของ Docker เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- **6.6. การสำรองข้อมูลและการกู้คืน (Backup & Recovery):**
- ระบบจะต้องมีกลไกการสำรองข้อมูลอัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูล MariaDB [cite: 2.4] และไฟล์เอกสารทั้งหมดใน /share/dms-data [cite: 2.1] (เช่น ใช้ HBS 3 ของ QNAP หรือสคริปต์สำรองข้อมูล) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ต้องมีแผนการกู้คืนระบบ (Disaster Recovery Plan) ในกรณีที่ Server หลัก (QNAP) ใช้งานไม่ได้
- **6.7. กลยุทธ์การแจ้งเตือน (Notification Strategy):**
- ระบบจะส่งการแจ้งเตือน (ผ่าน Email หรือ Line [cite: 2.7]) เมื่อมีการกระทำที่สำคัญ ดังนี้:
1. เมื่อมีเอกสารใหม่ (Correspondence, RFA) ถูกส่งมาถึงองค์กรณ์ของเรา
2. เมื่อมีใบเวียน (Circulation) ใหม่ มอบหมายงานมาที่เรา
3. (ทางเลือก) เมื่อเอกสารที่เราส่งไป ถูกดำเนินการ (เช่น อนุมัติ/ปฏิเสธ)
4. (ทางเลือก) เมื่อใกล้ถึงวันครบกำหนด (Deadline) [cite: 3.2.5, 3.6.6, 3.7.5]