251117:1700 first commit

This commit is contained in:
2025-11-17 16:48:49 +07:00
commit a16e154531
84 changed files with 38385 additions and 0 deletions

View File

@@ -0,0 +1,210 @@
# **📝 Documents Management Sytem Version 1.2.1: Application Requirements Specification**
## **📌 1. วัตถุประสงค์**
สร้างเว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับระบบบริหารจัดการเอกสารโครงการ (Document Management System)ที่สามารถจัดการและควบคุม การสื่อสารด้วยเอกสารที่ซับซ้อน อย่างมีประสิทธิภาพ
* มีฟังก์ชันหลักในการอัปโหลด จัดเก็บ ค้นหา แชร์ และควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงเอกสาร
* ช่วยลดการใช้เอกสารกระดาษ เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล
* เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างองกรณ์
## **🛠️ 2. สถาปัตยกรรมและเทคโนโลยี (System Architecture & Technology Stack)**
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Headless/API-First ที่ทันสมัย ทำงานทั้งหมดบน QNAP Server ผ่าน Container Station เพื่อความสะดวกในการจัดการและบำรุงรักษา, Domain: np-dms.work, มี fix ip, รัน docker command ใน application ของ Container Station ได้โดยตรง, ประกอบด้วย
* 2.1. Infrastructure & Environment:
* Server: QNAP (Model: TS-473A, RAM: 32GB, CPU: AMD Ryzen V1500B)
* Containerization: Container Station (Docker & Docker Compose) ใช้ UI ของ Container Station เป็นหลัก ในการ configuration และการรัน docker command
* Development Environment: VS Code on Windows 11
* Domain: np-dms.work, www.np-dms.work
* ip: 159.192.126.103
* Docker Network: ทุก Service จะเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายกลางชื่อ lcbp3 เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้
* Data Storage: /share/dms-data บน QNAP
* ข้อจำกัด: ไม่สามารถใช้ .env ในการกำหนดตัวแปรภายนอกได้ ต้องกำหนดใน docker-compose.yml เท่านั้น
* 2.2. Code Hosting:
* Application name: git
* Service: Gitea (Self-hosted on QNAP)
* Service name: gitea
* Domain: git.np-dms.work
* หน้าที่: เป็นศูนย์กลางในการเก็บและจัดการเวอร์ชันของโค้ด (Source Code) สำหรับทุกส่วน
* 2.3. Backend / Data Platform:
* Application name: lcbp3-backend
* Service: NestJS
* Service name: backend
* Domain: backend.np-dms.work
* Framework: NestJS (Node.js, TypeScript, ESM)
* หน้าที่: จัดการโครงสร้างข้อมูล (Data Models), สร้าง API, จัดการสิทธิ์ผู้ใช้ (Roles & Permissions), และสร้าง Workflow ทั้งหมดของระบบ
* 2.4. Database:
* Application name: lcbp3-db
* Service: mariadb:10.11
* Service name: mariadb
* Domain: db.np-dms.work
* หน้าที่: ฐานข้อมูลหลักสำหรับเก็บข้อมูลทั้งหมด
* Tooling: DBeaver (Community Edition), phpmyadmin สำหรับการออกแบบและจัดการฐานข้อมูล
* 2.5. Database management:
* Application name: lcbp3-db
* Service: phpmyadmin:5-apache
* Service name: pma
* Domain: pma.np-dms.work
* หน้าที่: จัดการฐานข้อมูล mariadb ผ่าน Web UI
* 2.6. Frontend:
* Application name: lcbp3-frontend
* Service: next.js
* Service name: frontend
* Domain: lcbp3.np-dms.work
* Framework: Next.js (App Router, React, TypeScript, ESM)
* Styling: Tailwind CSS + PostCSS
* Component Library: shadcn/ui
* หน้าที่: สร้างหน้าตาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับให้ผู้ใช้งานเข้ามาดู Dashboard, จัดการเอกสาร, และติดตามงาน โดยจะสื่อสารกับ Backend ผ่าน API
* 2.7. Workflow automation:
* Application name: lcbp3-n8n
* Service: n8nio/n8n:latest
* Service name: n8n
* Domain: n8n.np-dms.work
* หน้าที่: จัดการ workflow ระหว่าง Backend และ Line
* 2.8. Reverse Proxy:
* Application name: lcbp3-npm
* Service: Nginx Proxy Manager (nginx-proxy-manage: latest)
* Service name: npm
* Domain: npm.np-dms.work
* หน้าที่: เป็นด่านหน้าในการรับ-ส่งข้อมูล จัดการโดเมนทั้งหมด, ทำหน้าที่เป็น Proxy ชี้ไปยัง Service ที่ถูกต้อง, และจัดการ SSL Certificate (HTTPS) ให้อัตโนมัติ
* **2.9. การจัดการตรรกะทางธุรกิจ (Business Logic Implementation):**
* 2.9.1. ตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อนทั้งหมด (เช่น การเปลี่ยนสถานะ Workflow [cite: 3.5.4, 3.6.5], การบังคับใช้สิทธิ์ [cite: 4.4], การตรวจสอบ Deadline [cite: 3.2.5]) **จะถูกจัดการในฝั่ง Backend (NestJS)** [cite: 2.3] เพื่อให้สามารถบำรุงรักษาและทดสอบได้ง่าย (Testability)
* 2.9.2. **จะไม่มีการใช้ SQL Triggers** เพื่อป้องกันตรรกะซ่อนเร้น (Hidden Logic) และความซับซ้อนในการดีบัก
* 2.9.3. **ข้อยกเว้น:** ตรรกะเดียวที่จะอยู่ในฐานข้อมูลคือ **Stored Procedure** สำหรับการสร้างเลขที่เอกสาร (Document Numbering) [cite: 3.10] เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Race Condition)
## **📦 3. ข้อกำหนดด้านฟังก์ชันการทำงาน (Functional Requirements)**
* 3.1. การจัดการโครงสร้างโครงการและองค์กร
* 3.1.1. โครงการ (Projects): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในหลายโครงการได้ (ปัจจุบันมี 4 โครงการ และจะเพิ่มขึ้นในอนาคต)
* 3.1.2. สัญญา (Contracts): ระบบต้องสามารถจัดการเอกสารภายในแต่ละสัญญาได้ ในแต่ละโครงการ มีได้หลายสัญญา หรืออย่างน้อย 1 สัญญา
* 3.1.3. องค์กร (Organizations):
* มีหลายองค์กรในโครงการ องค์กรณ์ที่เป็น Owner, Designer และ Consultant สามารถอยู่ในหลายโครงการและหลายสัญญาได้
* Contractor จะถือ 1 สัญญา และอยู่ใน 1 โครงการเท่านั้น
* 3.2. การจัดการเอกสารโต้ตอบ (Correspondence Management)
* 3.2.1. วัตถุประสงค์: เอกสารโต้ตอบ (correspondences) ระหว่างองกรณื-องกรณ์ ภายใน โครงการ (Projects) และระหว่าง องค์กร-องค์กร ภายนอก โครงการ (Projects), รองรับ To (ผู้รับหลัก) และ CC (ผู้รับสำเนา) หลายองค์กร
* 3.2.2. ประเภทเอกสาร: ระบบต้องรองรับเอกสารรูปแบบ ไฟล์ PDF หลายประเภท (Types) เช่น จดหมาย (Letter), อีเมล์ (Email), Request for Information (RFI), และสามารถเพิ่มประเภทใหม่ได้ในภายหลัง
* 3.2.3. การสร้างเอกสาร (Correspondence):
* ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ (เช่น Document Control) สามารถสร้างเอกสารรอไว้ในสถานะ ฉบับร่าง" (Draft) ได้ ซึ่งผู้ใช้งานต่างองค์กรจะมองไม่เห็น
* เมื่อกด "Submitted" แล้ว การแก้ไข, ถอนเอกสารกลับไปสถานะ Draft, หรือยกเลิก (Cancel) จะต้องทำโดยผู้ใช้ระดับ Admin ขึ้นไป พร้อมระบุเหตุผล
* 3.2.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม:
* เอกสารสามารถอ้างถึง (Reference) เอกสารฉบับก่อนหน้าได้หลายฉบับ
* สามารถกำหนด Tag ได้หลาย Tag เพื่อจัดกลุ่มและใช้ในการค้นหาขั้นสูง
* 3.2.5. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
* สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่เป็นผู้รับได้
* มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบขององกรณ์ที่เป็น ผู้รับ/ผู้ส่ง ทราบ เมื่อมีเอกสารใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
* 3.3. การจัดกาแบบคู่สัญญา (Contract Drawing)
* 3.3.1. วัตถุประสงค์: แบบคู่สัญญา (Contract Drawing) ใช้เพื่ออ้างอิงและใช้ในการตรวจสอบ
* 3.3.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
* 3.3.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
* 3.3.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ใช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Contract Drawing
* 3.4. การจัดกาแบบก่อสร้าง (Shop Drawing)
* 3.4.1. วัตถุประสงค์: แบบก่อสร้าง (Shop Drawing) ใช้เในการตรวจสอบ โดยจัดส่งด้วย Request for Approval (RFA)
* 3.4.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
* 3.4.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
* 3.4.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: ช้สำหรับอ้างอิง ใน Shop Drawings, มีการจัดหมวดหมู่ของ Shop Drawings
* 3.5. การจัดการเอกสารขออนุมัติ (Request for Approval & Workflow)
* 3.5.1. วัตถุประสงค์: เอกสารขออนุมัติ (Request for Approval) ใช้ในการส่งเอกสารเพิอขออนุมัติ
* 3.5.2. ประเภทเอกสาร: Request for Approval (RFA) เป็นชนิดหนึ่งของ Correspondence ที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องได้รับการอนุมัติ มีประเภทดังนี้:
* Request for Drawing Approval (RFA_DWG)
* Request for Document Approval (RFA_DOC)
* Request for Method statement Approval (RFA_MES)
* Request for Material Approval (RFA_MAT)
* 3.5.2. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
* 3.5.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การจัดการ Drawing (RFA_DWG):
* เอกสาร RFA_DWG จะประกอบไปด้วย Shop Drawing (shop_drawings) หลายแผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นมี Revision ของตัวเอง
* Shop Drawing แต่ละ Revision สามารถอ้างอิงถึง Contract Drawing (Ccontract_drawings) หลายแผ่น หรือไม่อ้างถึงก็ได้
* ระบบต้องมีส่วนสำหรับจัดการข้อมูล Master Data ของทั้ง Shop Drawing และ Contract Drawing แยกจากกัน
* 3.6.5. Workflow การอนุมัติ: ต้องรองรับกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อนและเป็นลำดับ เช่น
* ส่งจาก Originator -> Organization 1 -> Organization 2 -> Organization 3 แล้วส่งผลกลับตามลำดับเดิม (โดยถ้า องกรณ์ใดใน Workflow ให้ส่งกลับ ก็สามารถส่งผลกลับตามลำดับเดิมโดยไม่ต้องรอให้ถึง องกรณืในลำดับถัดไป)
* 3.6.6. การจัดการ: มีการจัดการอย่างน้อยดังนี้
* สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ได้
* มีระบบแจ้งเตือน ให้ผู้รับผิดชอบของ องกรณ์ ที่อยู่ใน Workflow ทราบ เมื่อมี RFA ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนสถานะ
* 3.6.การจัดการเอกสารนำส่ง (Transmittals)
* 3.6.1. วัตถุประสงค์: เอกสารนำส่ง ใช้สำหรับ นำส่ง Request for Approval (RFAS) หลายฉบับ ไปยังองค์กรอื่น
* 3.6.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
* 3.6.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ สามารถสร้างและแก้ไขได้
* 3.6.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: เอกสารนำส่ง เป็นส่วนหนึ่งใน Correspondence
* 3.7. ใบเวียนเอกสารภายใน (Internal Circulation Sheet)
* 3.7.1. วัตถุประสงค์: การสื่อสาร เอกสาร (Correspondence) ทุกฉบับ จะมีใบเวียนเอกสารเพื่อควบคุมและมอบหมายงานภายในองค์กร (สามารถดูและแก้ไขได้เฉพาะคนในองค์กร)
* 3.7.2. ประเภทเอกสาร: ไฟล์ PDF
* 3.7.3. การสร้างเอกสาร: ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในองค์กรนั้น สามารถสร้างและแก้ไขได้
* 3.7.4. การอ้างอิงและจัดกลุ่ม: การระบุผู้รับผิดชอบ:
* ผู้รับผิดชอบหลัก (Main): มีได้หลายคน
* ผู้ร่วมปฏิบัติงาน (Action): มีได้หลายคน
* ผู้ที่ต้องรับทราบ (Information): มีได้หลายคน
* 3.7.5. การติดตามงาน:
* สามารถกำหนดวันแล้วเสร็จ (Deadline) สำหรับผู้รับผิดชอบประเภท Main และ Action ได้
* มีระบบแจ้งเตือนเมื่อมี Circulation ใหม่ และแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึงวันแล้วเสร็จ
* สามารถปิด Circulation ได้เมื่อดำเนินการตอบกลับไปยังองค์กรผู้ส่ง (Originator) แล้ว หรือ รับทราบแล้ว (For Information)
* 3.8. ประวัติการแก้ไข (Revisions): ระบบจะเก็บประวัติการสร้างและแก้ไข เอกสารทั้งหมด
* 3.9. การจัดเก็บ: (ปรับปรุงตามสถาปัตยกรรมใหม่)
* เอกสารและไฟล์แนบทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์บน Server (/share/dms-data/) [cite: 2.1]
* ข้อมูล Metadata ของไฟล์ (เช่น ชื่อไฟล์, ขนาด, path) จะถูกเก็บในตาราง attachments (ตารางกลาง)
* ไฟล์จะถูกเชื่อมโยงกับเอกสารประเภทต่างๆ ผ่านตารางเชื่อม (Junction tables) เช่น correspondence_attachments, circulation_attachments, shop_drawing_revision_attachments ,และ contracy_drawing_attachments
* สถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์นี้ *แทนที่* แนวคิดเดิมที่จะแยกโฟลเดอร์ตามประเภทเอกสาร เพื่อรองรับการขยายระบบที่ดีกว่า
* 3.10. การจัดการเลขที่เอกสาร (Document Numbering):
* 3.10.1. ระบบต้องสามารถสร้างเลขที่เอกสาร (เช่น correspondence_number) ได้โดยอัตโนมัติ
* 3.10.2. การนับเลข Running Number (SEQ) จะต้องนับแยกตาม Key ดังนี้: **โครงการ (Project)**, **องค์กรผู้ส่ง (Originator Organization)**, **ประเภทเอกสาร (Document Type)** และ **ปีปัจจุบัน (Year)**
* 3.10.3. ผู้ดูแลระบบ (Admin) ต้องสามารถกำหนด "รูปแบบ" (Format Template) ของเลขที่เอกสารได้ (เช่น {ORG_CODE}-{TYPE_CODE}-{YEAR_SHORT}-{SEQ:4}) โดยกำหนดแยกตามโครงการและประเภทเอกสาร
## **🔐 4. ข้อกำหนดด้านสิทธิ์และการเข้าถึง (Access Control Requirements)**
* 4.1. ภาพรวม: ผู้ใช้และองค์กรสามารถดูและแก้ไขเอกสารได้ตามสิทธิ์ที่ได้รับ โดยระบบสิทธิ์จะเป็นแบบ Role-Based Access Control (RBAC)
* 4.2. ระดับของสิทธิ์:
* Global Roles: สิทธิ์ในภาพรวมของระบบ
* Project-Specific Roles: สิทธิ์ที่ถูกกำหนดให้ผู้ใช้สำหรับโครงการนั้นๆ โดยเฉพาะ (เช่น เป็น Editor ในโครงการ A แต่เป็น Viewer ในโครงการ B)
* 4.3. บทบาท (Roles) พื้นฐาน:
* Superadmin: ไม่มีข้อจำกัดใดๆ สามารถจัดการได้ทุกอย่างข้ามองค์กรณ์
* Admin: มีสิทธิ์เต็มที่ แต่จำกัดเฉพาะในองค์กรที่ตัวเองสังกัด สามารถจัดการผู้ใช้ในองค์กรณ์ได้ สามารถสร้าง Role ใหม่และกำหนดสิทธิ์ (Permissions) เพิ่มเติมได้ในภายหลังผ่านหน้า Admin
* Document Control สามารถ เพิ่ม/แก้ไข/ลบ เอกสาร เฉพาะในองค์กรณ์ที่ตัวเองสังกัด ไม่สามารถจัดการผู้ใช้ได้
* Editor: สามารถ เพิ่ม/แก้ไข เอกสารที่กำหนดไว้ เฉพาะในองค์กรณ์ที่ตัวเองสังกัด
* Viewer: สามารถดู เอกสาร เฉพาะในองค์กรณ์ที่ตัวเองสังกัด
* 4.4. การบังคับใช้สิทธิ์: สิทธิ์ขององค์กรจะครอบคลุมสิทธิ์ของผู้ใช้ และการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ (เช่น การแก้ไขเอกสาร) จะถูกตรวจสอบเทียบกับสิทธิ์ที่ผู้ใช้มีในโครงการนั้นๆ โดยเฉพาะ
* 4.5. (ใหม่) การจัดการข้อมูลหลัก (Master Data Management):
* ระบบจะต้องมีส่วน "Admin Panel" (สำหรับ Superadmin และ Admin) เพื่อใช้จัดการข้อมูลหลัก (Master Data) ของระบบ
* ข้อมูลหลักที่ต้องจัดการได้เป็นอย่างน้อย:
* ประเภทเอกสาร (เช่น correspondence_types, rfa_types)
* หมวดหมู่แบบ (เช่น shop_drawing_categories)
* Tags ที่ใช้ในระบบ
* สถานะเอกสาร (หากจำเป็นต้องเพิ่มในอนาคต)
* 4.6. (ใหม่) การเริ่มต้นใช้งาน (User & Organization Onboarding):
* การเพิ่มองค์กรณ์ใหม่ (Organizations) เข้าสู่ระบบ จะต้องดำเนินการโดย Superadmin เท่านั้น
* เมื่อ Superadmin สร้างองค์กรณ์ใหม่ จะต้องสามารถกำหนดผู้ใช้ (User) อย่างน้อย 1 คน ให้เป็น "Admin" ประจำองค์กรณ์นั้นๆ
* Admin ประจำองค์กณ์รจึงจะสามารถเพิ่มผู้ใช้ (Editor, Viewer, Document Control) คนอื่นๆ เข้าสู่องค์กรของตนเองได้
## **👥 5\. ข้อกำหนดด้านผู้ใช้งาน (User Interface & Experience)**
* 5.1. Layout หลัก: หน้าเว็บใช้รูปแบบ App Shell ที่ประกอบด้วย:
* Navbar (ส่วนบน): แสดงชื่อระบบ, เมนูผู้ใช้ (Profile), เมนูสำหรับ Admin/Superadmin (จัดการผู้ใช้, จัดการสิทธิ์), และปุ่ม Login/Logout
* Sidebar (ด้านข้าง): เป็นเมนูหลักสำหรับเข้าถึงส่วนที่เกี่ยวกับเอกสารทั้งหมด เช่น Dashboard, Correspondences, RFA, Drawings
* Main Content Area: พื้นที่สำหรับแสดงเนื้อหาหลักของหน้าที่เลือก
* 5.2. หน้า Landing Page: เป็นหน้าแรกที่แสดงข้อมูลบางส่วนของโครงการสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่ได้ล็อกอิน
* 5.3. หน้า Dashboard: เป็นหน้าแรกหลังจากล็อกอิน ประกอบด้วย:
* การ์ดสรุปภาพรวม (KPI Cards): แสดงข้อมูลสรุปที่สำคัญขององค์กร เช่น จำนวนเอกสาร, งานที่เกินกำหนด
* ตาราง "งานของฉัน" (My Tasks Table): แสดงรายการงานทั้งหมดจาก Circulation ที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ
* 5.4. การติดตามสถานะ: องค์กรสามารถติดตามสถานะเอกสารทั้งของตนเอง (Originator) และสถานะเอกสารที่ส่งมาถึงตนเอง (Recipient)
* 5.5. การจัดการข้อมูลส่วนตัว (Profile Page): ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลส่วนตัวและเปลี่ยนรหัสผ่านของตนเองได้
* 5.6. การจัดการเอกสารทางเทคนิค (Technical Documents & Workflow): ผู้ใช้สามารถดู Technical Document ในรูปแบบ Workflow ทั้งหมดได้ในหน้าเดียว, ขั้นตอนที่ยังไม่ถึงหรือผ่านไปแล้วจะเป็นรูปแบบ diable, สามารถดำเนินการได้เฉพาะในขั้นตอนที่ได้รับมอบหมายงาน (active) เช่น ตรวจสอบแล้ว เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไป, สิทธิ์ admin ขึ้นไป สามรถกด ไปยังขั้นตอนต่อไป ได้ทุกขั้นตอน, การย้อนกลับ ไปขั้นตอนก่อนหน้า สามารถทำได้โดย สิทธิ์ admin ขึ้นไป
* 5.7. ข้อกำหนด UI/UX การแนบไฟล์ (File Attachment UX):
* ระบบต้องรองรับการอัปโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน (Multi-file upload) เช่น การลากและวาง (Drag-and-Drop)
* ในหน้าอัปโหลด (เช่น สร้าง RFA หรือ Correspondence) ผู้ใช้ต้องสามารถกำหนดได้ว่าไฟล์ใดเป็น "เอกสารหลัก" (Main Document เช่น PDF) และไฟล์ใดเป็น "เอกสารแนบประกอบ" (Supporting Attachments เช่น .dwg, .docx, .zip)
## **6. ข้อกำหนดที่ไม่ใช่ฟังก์ชันการทำงาน (Non-Functional Requirements)**
* 6.1. การบันทึกการกระทำ (Audit Log): ทุกการกระทำที่สำคัญของผู้ใช้ (สร้าง, แก้ไข, ลบ, ส่ง) จะถูกบันทึกไว้ใน audit_logs เพื่อการตรวจสอบย้อนหลัง
* 6.2. การค้นหา (Search): ระบบต้องมีฟังก์ชันการค้นหาขั้นสูง ที่สามารถค้นหาเอกสาร **correspondence**, **rfa**, **shop_drawing**, **contract-drawing**, **transmittal** และ **ใบเวียน (Circulations)** จากหลายเงื่อนไขพร้อมกันได้ เช่น ค้นหาจากชื่อเรื่อง, ประเภท, วันที่, และ Tag
* 6.3. การทำรายงาน (Reporting): สามารถจัดทำรายงานสรุปแยกประเภทของ Correspondence ประจำวัน, สัปดาห์, เดือน, และปีได้
* 6.4. ประสิทธิภาพ (Performance): มีการใช้ Caching กับข้อมูลที่เรียกใช้บ่อย และใช้ Pagination ในตารางข้อมูลเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมาก
* 6.5. ความปลอดภัย (Security):
* มีระบบ Rate Limiting เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Brute-force
* การจัดการ Secret (เช่น รหัสผ่าน DB, JWT Secret) จะต้องทำผ่าน Environment Variable ของ Docker เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
* 6.6. (ใหม่) การสำรองข้อมูลและการกู้คืน (Backup & Recovery):
* ระบบจะต้องมีกลไกการสำรองข้อมูลอัตโนมัติสำหรับฐานข้อมูล MariaDB [cite: 2.4] และไฟล์เอกสารทั้งหมดใน /share/dms-data [cite: 2.1] (เช่น ใช้ HBS 3 ของ QNAP หรือสคริปต์สำรองข้อมูล) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
* ต้องมีแผนการกู้คืนระบบ (Disaster Recovery Plan) ในกรณีที่ Server หลัก (QNAP) ใช้งานไม่ได้
* 6.7. (ใหม่) กลยุทธ์การแจ้งเตือน (Notification Strategy):
* ระบบจะส่งการแจ้งเตือน (ผ่าน Email หรือ Line [cite: 2.7]) เมื่อมีการกระทำที่สำคัญ ดังนี้:
1. เมื่อมีเอกสารใหม่ (Correspondence, RFA) ถูกส่งมาถึงองค์กรณ์ของเรา
2. เมื่อมีใบเวียน (Circulation) ใหม่ มอบหมายงานมาที่เรา
3. (ทางเลือก) เมื่อเอกสารที่เราส่งไป ถูกดำเนินการ (เช่น อนุมัติ/ปฏิเสธ)
4. (ทางเลือก) เมื่อใกล้ถึงวันครบกำหนด (Deadline) [cite: 3.2.5, 3.6.6, 3.7.5]